เมล็ดพันธุ์ ฟักทองบัทเตอร์นัท

30 ฿

  • จำนวน 12 เมล็ด
  • ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
  • มีใยอาหาร โพแทสเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ
  • ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

เมล็ดพันธุ์ ฟักทองบัทเตอร์นัท 12 เมล็ด

ฟักทองบัทเตอร์นัท (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cucurbita moschata) เป็นฟักทองชนิดหนึ่ง มีลักษณะเด่นคือ ผลทรงระฆัง หรือคล้ายลูกแพร์ ส่วนล่างป่องออก และมีคอยาว เปลือกมีสีน้ำตาลอ่อน ผิวเรียบ เนื้อมีสีส้มสด รสชาติหวานมันคล้ายเนย จึงเป็นที่มาของชื่อ “บัทเตอร์นัท” (butter = เนย, nut = ถั่ว) ลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อย มีมือเกาะ ใบเดี่ยวขนาดใหญ่รูปไตหรือคล้ายรูปหัวใจ มีขนอ่อน ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีเหลือง ผลมีรูปทรงเฉพาะตัว เนื้อมีสีส้มสด เนื้อแน่นละเอียด มีเมล็ดอยู่บริเวณส่วนล่างของผล มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ แต่ปัจจุบันมีการปลูกอย่างแพร่หลายทั่วโลก

คุณสมบัติ

  • ลักษณะภายนอกโดดเด่น
    • ผลทรงระฆังหรือคล้ายลูกแพร์ เปลือกสีน้ำตาลอ่อน ผิวเรียบ
  • รสชาติหวานมัน
    • เนื้อมีรสชาติหวานมันคล้ายเนย อร่อย
  • เนื้อสัมผัส
    • เนื้อละเอียด เนียนนุ่ม เมื่อสุก
  • สีเนื้อ
    • มีสีส้มสด
  • คุณค่าทางโภชนาการสูง
    • อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ (โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน) วิตามินซี วิตามินอี โพแทสเซียม แมกนีเซียม และใยอาหาร
  • แคลอรี่ต่ำ
    • เมื่อเทียบกับผักที่มีรสหวานมันชนิดอื่น ๆ ฟักทองบัทเตอร์นัทมีแคลอรี่ต่ำกว่า
  • เก็บรักษาได้นาน
    • สามารถเก็บรักษาได้นานในที่แห้งและเย็น

ประโยชน์ของฟักทองบัทเตอร์นัท

  1. บริโภคเป็นอาหาร
    • เป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งคาวและหวาน เช่น ซุปฟักทองบัทเตอร์นัท ฟักทองอบ ผัด แกง สังขยาฟักทอง พายฟักทอง
  2. แหล่งเบต้าแคโรทีนสูง
    • ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
  3. ใยอาหารสูง
    • ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  4. เป็นแหล่งวิตามินซี
    • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  5. มีโพแทสเซียมสูง
    • ช่วยควบคุมความดันโลหิต
  6. แคลอรี่ต่ำ
    • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
  7. ดีต่อสุขภาพหัวใจ
    • มีใยอาหาร โพแทสเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมดิน

    • เลือกพื้นที่ปลูกที่ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
    • ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน เพื่อกำจัดวัชพืชและแมลง
    • ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2-3 ตันต่อไร่ แล้วไถกลบ
  2. การเพาะกล้า (แนะนำเพื่อการเจริญเติบโตที่สม่ำเสมอ)

    • แช่เมล็ดในน้ำสะอาดประมาณ 6-8 ชั่วโมง
    • เพาะในถาดเพาะกล้าด้วยวัสดุเพาะ เช่น พีทมอส หรือดินผสม
    • รดน้ำให้ชุ่ม เก็บไว้ในที่ร่มรำไร เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ (ประมาณ 15-20 วัน) จึงย้ายลงแปลงปลูก
  3. การปลูก (สามารถหยอดเมล็ดลงแปลงโดยตรงได้)

    • ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดประมาณ 50x50x50 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุมและระหว่างแถวประมาณ 1-1.5 เมตร
    • นำต้นกล้าลงปลูก กลบดินให้มิดโคนต้น กดดินเบา ๆ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
    • หากหยอดเมล็ดโดยตรง ให้หยอด 2-3 เมล็ดต่อหลุม เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ ให้ถอนแยกเหลือหลุมละ 1-2 ต้น
  4. การดูแลรักษา

    • การให้น้ำ: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต ช่วงออกดอก และติดผล รักษาระดับความชื้นในดินให้สม่ำเสมอ
    • การให้ปุ๋ย: ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และเมื่อเริ่มติดผลให้ปุ๋ยสูตรที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงขึ้น (เช่น 12-24-12 หรือ 13-13-21) เพื่อส่งเสริมการออกดอกและติดผล
    • การทำค้าง (สำหรับบางพื้นที่ที่มีพื้นที่จำกัด หรือต้องการให้ผลสะอาด): สามารถทำค้างเพื่อให้เถาเลื้อย
    • การกำจัดวัชพืช: กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ
    • การป้องกันและกำจัดโรคแมลง: หมั่นตรวจแปลงปลูก หากพบโรคหรือแมลงให้รีบทำการป้องกันและกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม
  5. การเก็บเกี่ยว

    • ฟักทองบัทเตอร์นัทจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 90-110 วัน หลังหยอดเมล็ด ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
    • สังเกตลักษณะผลที่แก่จัด เช่น เปลือกแข็ง สีน้ำตาลอ่อนสม่ำเสมอ ก้านผลแห้งและแข็ง