เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดหวาน

30 ฿

  • จำนวน 60 เมล็ด
  • แหล่งพลังงานให้คาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย
  • อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ

เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดหวาน 60 เมล็ด

ข้าวโพดหวาน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Zea mays L. subsp. mays) ข้าวโพดหวานคือข้าวโพดชนิดหนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์มาเป็นพิเศษเพื่อให้มีปริมาณน้ำตาลในเมล็ดสูงกว่าข้าวโพดชนิดอื่น ๆ ทำให้มีรสชาติหวานอร่อยและเนื้อสัมผัสที่นุ่มนวล โดยเฉพาะเมื่อนำมาบริโภคสด เมล็ดของข้าวโพดหวานจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแป้งช้ากว่าข้าวโพดชนิดอื่น ๆ ทำให้คงความหวานไว้ได้นานหลังการเก็บเกี่ยว

คุณสมบัติ

  • รสชาติหวาน เป็นคุณสมบัติเด่นที่สุดของข้าวโพดหวาน เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูง (โดยเฉพาะซูโครส)
  • เนื้อสัมผัสนุ่มนวล เมล็ดมีความนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง เมื่อต้มหรือนึ่งจะมีความฉ่ำน้ำ
  • เมล็ดมีสีสันหลากหลาย โดยทั่วไปมักเป็นสีเหลืองทอง แต่ก็มีสายพันธุ์ที่มีเมล็ดสีขาว สีสองสี (เหลืองสลับขาว) หรือแม้กระทั่งสีม่วง
  • อายุเก็บเกี่ยวสั้น โดยเฉลี่ยประมาณ 65-85 วันหลังปลูก (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพอากาศ) ซึ่งเร็วกว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
  • การเก็บรักษา ควรบริโภคหรือแปรรูปทันทีหลังเก็บเกี่ยว เพราะน้ำตาลในเมล็ดจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแป้ง ทำให้ความหวานลดลง (แม้จะช้ากว่าข้าวโพดชนิดอื่น) การแช่เย็นจะช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงนี้ได้

ประโยชน์ของข้าวโพดหวาน

  1. เพื่อการบริโภค เป็นแหล่งอาหารที่นิยมบริโภคอย่างแพร่หลาย สามารถนำมาต้ม ปิ้ง ย่าง นึ่ง ทำซุป สลัด หรือเป็นส่วนประกอบในอาหารหลากหลายชนิด
  2. แหล่งพลังงาน ให้คาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย
  3. ใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และรักษาสุขภาพลำไส้
  4. อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ
    • วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    • วิตามินบีรวม (B1, B3, B5, B6, B9) มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบประสาทและการเผาผลาญพลังงาน
    • โพแทสเซียม ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกายและความดันโลหิต
    • แมกนีเซียม สำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
    • ฟอสฟอรัส จำเป็นต่อสุขภาพกระดูกและฟัน
  5. สารต้านอนุมูลอิสระ
    • ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) พบมากในข้าวโพดหวานสีเหลือง มีความสำคัญต่อสุขภาพดวงตา ช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม
    • กรดเฟรูลิก (Ferulic acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
    • แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) หากเป็นข้าวโพดหวานสีม่วง จะมีสารนี้ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง

วิธีการปลูก

  1. การเลือกเมล็ดพันธุ์ เลือกสายพันธุ์ข้าวโพดหวานที่เหมาะสมกับสภาพอากาศในพื้นที่ของคุณ และมีความต้านทานโรค/แมลง
  2. สภาพดินและแสงแดด
    • ดิน ชอบดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง และมีค่า pH ประมาณ 6.0-7.0
    • แสงแดด ต้องการแสงแดดจัดเต็มวัน (อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน)
  3. ช่วงเวลาปลูก
    • ควรปลูกเมื่อพ้นช่วงน้ำค้างแข็งสุดท้าย และอุณหภูมิของดินสูงกว่า ()
    • ในเขตร้อนสามารถปลูกได้ตลอดปี หากมีน้ำเพียงพอ แต่ควรหลีกเลี่ยงช่วงที่ฝนตกชุกเกินไป
  4. การเตรียมดิน
    • ไถพรวนดินให้ลึก 25-30 ซม. ตากดินทิ้งไว้ 7-10 วัน
    • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
    • ปรับหน้าดินให้เรียบ และเตรียมร่องปลูกหรือหลุมปลูก
  5. การหว่านเมล็ด
    • ระยะปลูก หยอดเมล็ดลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร
      • ปลูกเป็นกลุ่ม/บล็อก เพื่อให้การผสมเกสรมีประสิทธิภาพ ควรปลูกเป็นกลุ่มสี่เหลี่ยมจัตุรัสอย่างน้อย 4×4 ต้น หรือปลูกเป็นแถวหลายๆ แถวใกล้กัน (อย่างน้อย 3-4 แถว)
      • ระยะห่างระหว่างแถว 75-90 เซนติเมตร
      • ระยะห่างระหว่างต้น 20-30 เซนติเมตร (หยอด 2-3 เมล็ดต่อหลุม แล้วถอนแยกเหลือ 1 ต้นที่แข็งแรงที่สุดเมื่อต้นโต)
    • กลบดินบางๆ และรดน้ำให้ชุ่มทันที
  6. การดูแลรักษา
    • การรดน้ำ รดน้ำให้สม่ำเสมอและเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวโพดเริ่มออกดอกและติดฝัก ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดต่อการสร้างผลผลิตและความหวาน
    • การให้ปุ๋ย
      • ครั้งที่ 1 (เมื่อต้นสูง 20-30 ซม. หรือมีใบจริง 4-5 ใบ): ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูง เช่น ยูเรีย (46-0-0) หรือปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 20-30 กก./ไร่
      • ครั้งที่ 2 (เมื่อเริ่มออกไหม/ดอก หรือก่อนออกดอกเล็กน้อย): ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 เพื่อบำรุงฝักและเมล็ด อัตรา 20-30 กก./ไร่
    • การกำจัดวัชพืช หมั่นกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วง 30 วันแรกหลังปลูก
    • การป้องกันกำจัดศัตรูพืชและโรค เฝ้าระวังหนอนเจาะฝักข้าวโพด (corn earworm), หนอนกระทู้ข้าวโพด (fall armyworm), เพลี้ยอ่อน และโรคทางใบต่างๆ ใช้สารชีวภาพหรือสารเคมีที่เหมาะสมหากมีการระบาด
  7. การเก็บเกี่ยว
    • เก็บเกี่ยวเมื่อไหมที่ปลายฝักเริ่มแห้งเป็นสีน้ำตาลหรือดำ และเมล็ดเต่งตึงเต็มฝัก (ประมาณ 18-20 วันหลังออกไหม)
    • ทดสอบความสุกโดยการบีบเมล็ด หากมีน้ำนมสีขาวขุ่นไหลออกมา แสดงว่าสุกพอดี
    • ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าที่อากาศยังเย็น เพื่อรักษาความหวานและคุณภาพของฝัก
    • หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ควรนำไปบริโภคหรือแช่เย็นทันที เพื่อคงความหวานไว้ให้ได้นานที่สุด