เมล็ดพันธุ์ กะหล่ำปลีสีม่วง 70 เมล็ด
กะหล่ำปลีสีม่วง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Brassica oleracea var. capitata f. rubra) เป็นพืชชนิดหนึ่งในตระกูลกะหล่ำ (Brassicaceae) เช่นเดียวกับกะหล่ำปลีสีเขียว บรอกโคลี และคะน้า สิ่งที่ทำให้กะหล่ำปลีชนิดนี้มีสีม่วงหรือแดงเข้มเป็นเพราะมีสารรงควัตถุธรรมชาติที่เรียกว่า “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง
กะหล่ำปลีสีม่วงมีลักษณะคล้ายกะหล่ำปลีสีเขียวทั่วไป คือมีใบซ้อนกันเป็นชั้น ๆ และมีเนื้อสัมผัสที่กรอบ รสชาติจะเข้มข้นกว่ากะหล่ำปลีสีเขียวเล็กน้อย และมีรสขมฝาดน้อยกว่า
คุณสมบัติ
- วิตามิน โดยเฉพาะวิตามินซี (สูงมาก) วิตามินเค และวิตามินเอ (ในรูปของเบต้าแคโรทีน) รวมถึงวิตามินบีบางชนิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงกระดูก สายตา และระบบประสาท
- แร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และแมงกานีส ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย
- ใยอาหารสูงมาก ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- สารต้านอนุมูลอิสระ ที่โดดเด่นคือ แอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารที่ให้สีม่วงและมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง นอกจากนี้ยังมีสารฟลาโวนอยด์ คาโรตีนอยด์ และสารประกอบซัลเฟอร์ (glucosinolates) ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
- สารประกอบซัลเฟอร์ (Sulfur Compounds) ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่พบในพืชตระกูลกะหล่ำ มีคุณสมบัติในการล้างพิษและอาจช่วยป้องกันมะเร็ง
ประโยชน์ของกะหล่ำปลีสีม่วง
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค
- ต้านอนุมูลอิสระสูง แอนโทไซยานินและสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเรื้อรังและริ้วรอยก่อนวัย
- บำรุงกระดูก วิตามินเคมีบทบาทสำคัญในการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
- ดีต่อระบบย่อยอาหาร ใยอาหารสูงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานปกติ ป้องกันอาการท้องผูก และรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
- ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ สารแอนโทไซยานินและใยอาหารอาจช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- อาจช่วยป้องกันมะเร็ง สารประกอบซัลเฟอร์และสารต้านอนุมูลอิสระในกะหล่ำปลีสีม่วงได้รับการศึกษาว่าอาจมีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด
- ลดการอักเสบ สารแอนโทไซยานินและสารอื่นๆ ในกะหล่ำปลีสีม่วงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการอักเสบในร่างกาย
- บำรุงสายตา วิตามินเอ (ในรูปเบต้าแคโรทีน) มีความสำคัญต่อสุขภาพดวงตา และช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา
- ช่วยในการลดน้ำหนัก เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำแต่มีใยอาหารสูง ทำให้อิ่มนานและช่วยควบคุมน้ำหนัก
วิธีการปลูก
-
การเพาะเมล็ด
- เตรียมเมล็ด เลือกซื้อเมล็ดพันธุ์กะหล่ำปลีสีม่วงที่มีคุณภาพดี
- เพาะกล้า หว่านเมล็ดในถาดเพาะกล้า หรือกระถางเล็กๆ ที่มีดินเพาะกล้าที่ระบายน้ำได้ดี กลบดินบางๆ ประมาณ 0.5-1 ซม. รดน้ำให้ชุ่มชื้น
- ดูแลกล้า วางในที่ที่มีแสงแดดรำไร แต่ไม่โดนแดดจัดเกินไปในช่วงแรก รักษาระดับความชื้นในดินอย่างสม่ำเสมอ เมล็ดจะงอกภายใน 7-10 วัน
- ย้ายกล้า เมื่อกล้ามีใบจริง 4-6 ใบ และสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร (ประมาณ 4-6 สัปดาห์หลังเพาะเมล็ด) สามารถย้ายลงแปลงปลูกได้
การปลูกและดูแล
- สภาพแวดล้อม กะหล่ำปลีสีม่วงชอบแสงแดดเต็มที่ อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน และชอบอากาศเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตคือ 15-20 องศาเซลเซียส หากปลูกในเขตร้อน ควรปลูกในช่วงที่อากาศไม่ร้อนจัด หรือมีแดดร่มรำไรในช่วงบ่าย
- ดิน ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง และมีความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 6.0-7.0
- การเตรียมดิน ไถพรวนดินให้ร่วนซุย ลึกประมาณ 20-30 ซม. ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
- ระยะปลูก ปลูกเป็นแถว โดยมีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 45-60 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 60-75 เซนติเมตร เพื่อให้ต้นกะหล่ำปลีมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตและสร้างหัวได้อย่างเต็มที่
- การให้น้ำ ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเช้าและช่วงเย็น รักษาระดับความชื้นในดินอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง เพราะอาจทำให้รากเน่าได้
- การให้ปุ๋ย เมื่อต้นกะหล่ำปลีเริ่มสร้างหัว ควรให้ปุ๋ยที่มีธาตุโพแทสเซียมสูง หรือปุ๋ยหมักเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมการสร้างหัวและเพิ่มคุณภาพผลผลิต
- การพรวนดินและกำจัดวัชพืช พรวนดินรอบโคนต้นอย่างเบามือเพื่อเพิ่มอากาศในดิน และกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เพราะวัชพืชจะแย่งธาตุอาหารจากต้นกะหล่ำปลี
- การป้องกันศัตรูพืชและโรค กะหล่ำปลีอาจถูกโจมตีโดยหนอนผีเสื้อ หนอนใยผัก และเพลี้ยต่างๆ ควรหมั่นสำรวจและใช้สารชีวภัณฑ์ หรือวิธีธรรมชาติในการควบคุมศัตรูพืช หากจำเป็น
- การเก็บเกี่ยว กะหล่ำปลีสีม่วงจะใช้เวลาประมาณ 80-120 วันหลังย้ายกล้า ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพอากาศ สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อหัวกะหล่ำปลีแน่นและมีขนาดตามต้องการ โดยใช้มีดคมๆ ตัดที่โคนต้น