เมล็ดพันธุ์ กะหล่ำปลีสีม่วง

30 ฿

  • จำนวน 70 เมล็ด
  • ใยอาหารสูงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานปกติ ป้องกันอาการท้องผูก
  • เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำแต่มีใยอาหารสูง ทำให้อิ่มนาน
  • วิตามินเอ ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา

50 in stock

เมล็ดพันธุ์ กะหล่ำปลีสีม่วง 70 เมล็ด

กะหล่ำปลีสีม่วง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Brassica oleracea var. capitata f. rubra) เป็นพืชชนิดหนึ่งในตระกูลกะหล่ำ (Brassicaceae) เช่นเดียวกับกะหล่ำปลีสีเขียว บรอกโคลี และคะน้า สิ่งที่ทำให้กะหล่ำปลีชนิดนี้มีสีม่วงหรือแดงเข้มเป็นเพราะมีสารรงควัตถุธรรมชาติที่เรียกว่า “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง

กะหล่ำปลีสีม่วงมีลักษณะคล้ายกะหล่ำปลีสีเขียวทั่วไป คือมีใบซ้อนกันเป็นชั้น ๆ และมีเนื้อสัมผัสที่กรอบ รสชาติจะเข้มข้นกว่ากะหล่ำปลีสีเขียวเล็กน้อย และมีรสขมฝาดน้อยกว่า

คุณสมบัติ

  • วิตามิน โดยเฉพาะวิตามินซี (สูงมาก) วิตามินเค และวิตามินเอ (ในรูปของเบต้าแคโรทีน) รวมถึงวิตามินบีบางชนิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงกระดูก สายตา และระบบประสาท
  • แร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และแมงกานีส ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย
  • ใยอาหารสูงมาก ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • สารต้านอนุมูลอิสระ ที่โดดเด่นคือ แอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารที่ให้สีม่วงและมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง นอกจากนี้ยังมีสารฟลาโวนอยด์ คาโรตีนอยด์ และสารประกอบซัลเฟอร์ (glucosinolates) ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
  • สารประกอบซัลเฟอร์ (Sulfur Compounds) ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่พบในพืชตระกูลกะหล่ำ มีคุณสมบัติในการล้างพิษและอาจช่วยป้องกันมะเร็ง

ประโยชน์ของกะหล่ำปลีสีม่วง

  1. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค
  2. ต้านอนุมูลอิสระสูง แอนโทไซยานินและสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเรื้อรังและริ้วรอยก่อนวัย
  3. บำรุงกระดูก วิตามินเคมีบทบาทสำคัญในการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
  4. ดีต่อระบบย่อยอาหาร ใยอาหารสูงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานปกติ ป้องกันอาการท้องผูก และรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
  5. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ สารแอนโทไซยานินและใยอาหารอาจช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
  6. อาจช่วยป้องกันมะเร็ง สารประกอบซัลเฟอร์และสารต้านอนุมูลอิสระในกะหล่ำปลีสีม่วงได้รับการศึกษาว่าอาจมีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด
  7. ลดการอักเสบ สารแอนโทไซยานินและสารอื่นๆ ในกะหล่ำปลีสีม่วงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการอักเสบในร่างกาย
  8. บำรุงสายตา วิตามินเอ (ในรูปเบต้าแคโรทีน) มีความสำคัญต่อสุขภาพดวงตา และช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา
  9. ช่วยในการลดน้ำหนัก เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำแต่มีใยอาหารสูง ทำให้อิ่มนานและช่วยควบคุมน้ำหนัก

วิธีการปลูก

  1. การเพาะเมล็ด

    1. เตรียมเมล็ด เลือกซื้อเมล็ดพันธุ์กะหล่ำปลีสีม่วงที่มีคุณภาพดี
    2. เพาะกล้า หว่านเมล็ดในถาดเพาะกล้า หรือกระถางเล็กๆ ที่มีดินเพาะกล้าที่ระบายน้ำได้ดี กลบดินบางๆ ประมาณ 0.5-1 ซม. รดน้ำให้ชุ่มชื้น
    3. ดูแลกล้า วางในที่ที่มีแสงแดดรำไร แต่ไม่โดนแดดจัดเกินไปในช่วงแรก รักษาระดับความชื้นในดินอย่างสม่ำเสมอ เมล็ดจะงอกภายใน 7-10 วัน
    4. ย้ายกล้า เมื่อกล้ามีใบจริง 4-6 ใบ และสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร (ประมาณ 4-6 สัปดาห์หลังเพาะเมล็ด) สามารถย้ายลงแปลงปลูกได้

    การปลูกและดูแล

    1. สภาพแวดล้อม กะหล่ำปลีสีม่วงชอบแสงแดดเต็มที่ อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน และชอบอากาศเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตคือ 15-20 องศาเซลเซียส หากปลูกในเขตร้อน ควรปลูกในช่วงที่อากาศไม่ร้อนจัด หรือมีแดดร่มรำไรในช่วงบ่าย
    2. ดิน ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง และมีความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 6.0-7.0
    3. การเตรียมดิน ไถพรวนดินให้ร่วนซุย ลึกประมาณ 20-30 ซม. ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
    4. ระยะปลูก ปลูกเป็นแถว โดยมีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 45-60 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 60-75 เซนติเมตร เพื่อให้ต้นกะหล่ำปลีมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตและสร้างหัวได้อย่างเต็มที่
    5. การให้น้ำ ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเช้าและช่วงเย็น รักษาระดับความชื้นในดินอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง เพราะอาจทำให้รากเน่าได้
    6. การให้ปุ๋ย เมื่อต้นกะหล่ำปลีเริ่มสร้างหัว ควรให้ปุ๋ยที่มีธาตุโพแทสเซียมสูง หรือปุ๋ยหมักเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมการสร้างหัวและเพิ่มคุณภาพผลผลิต
    7. การพรวนดินและกำจัดวัชพืช พรวนดินรอบโคนต้นอย่างเบามือเพื่อเพิ่มอากาศในดิน และกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เพราะวัชพืชจะแย่งธาตุอาหารจากต้นกะหล่ำปลี
    8. การป้องกันศัตรูพืชและโรค กะหล่ำปลีอาจถูกโจมตีโดยหนอนผีเสื้อ หนอนใยผัก และเพลี้ยต่างๆ ควรหมั่นสำรวจและใช้สารชีวภัณฑ์ หรือวิธีธรรมชาติในการควบคุมศัตรูพืช หากจำเป็น
    9. การเก็บเกี่ยว กะหล่ำปลีสีม่วงจะใช้เวลาประมาณ 80-120 วันหลังย้ายกล้า ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพอากาศ สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อหัวกะหล่ำปลีแน่นและมีขนาดตามต้องการ โดยใช้มีดคมๆ ตัดที่โคนต้น