เมล็ดพันธุ์ ดอกพวงชมพู 20 เมล็ด
ดอกพวงชมพู (ชื่อวิทยาศาสตร์: Antigonon leptopus) ดอกพวงชมพูเป็นไม้เลื้อยเถาใหญ่ มีเถาเนื้อแข็ง จัดอยู่ในวงศ์ Polygonaceae เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก มีลักษณะเด่นคือเป็นไม้เลื้อยที่แตกกิ่งก้านสาขามาก เลื้อยได้ไกลและเร็ว ออกดอกเป็นช่อสีชมพูสดใสจำนวนมาก ทำให้ดูเหมือนพวงดอกไม้ระย้า พวงชมพูเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมในการนำมาปลูกประดับตกแต่งรั้ว ซุ้มประตู หรือระแนง เพื่อสร้างความร่มรื่นสวยงามและเพิ่มสีสันให้กับสวน
คุณสมบัติ
- ลักษณะเถา เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง มีมือเกาะสำหรับยึดเกี่ยว
- ใบ ใบเป็นรูปหัวใจหรือรูปไข่ ปลายแหลม โคนเว้าเข้าหากัน ขอบใบเรียบ สีเขียวสด
- ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ตามซอกใบและปลายยอด ดอกย่อยเล็กๆ จำนวนมากรวมกันเป็นช่อสีชมพูสดใส (บางสายพันธุ์อาจมีสีขาว) กลีบดอกมี 5 กลีบ ลักษณะเหมือนดาว ดอกจะบานทยอยกัน ทำให้ช่อดอกบานต่อเนื่องยาวนานเกือบตลอดปีหากสภาพอากาศเหมาะสม
- ผล เป็นผลแห้งรูปไข่หรือรูปสามเหลี่ยม มีเมล็ดอยู่ภายใน
- การเจริญเติบโต เป็นไม้เลื้อยที่เจริญเติบโตเร็ว แตกกิ่งก้านมาก เลื้อยได้ไกล
- ความทนทาน ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้งได้ดี ชอบแดดจัด
- การขยายพันธุ์ ส่วนใหญ่ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ หรือการตอน
ประโยชน์ของดอกพวงชมพู
- ไม้ประดับ เป็นไม้ประดับที่ให้ดอกสวยงามมาก เหมาะสำหรับปลูกเป็นซุ้มไม้เลื้อย, รั้ว, ระแนง, หรือคลุมต้นไม้ใหญ่ ช่วยเพิ่มความร่มรื่น สดชื่น และความสวยงามให้กับภูมิทัศน์
- ให้ร่มเงา ด้วยความที่เจริญเติบโตเร็วและแตกกิ่งก้านได้ดี จึงสามารถให้ร่มเงาได้ดี เหมาะสำหรับทำซุ้มทางเดิน หรือระแนงบังแดด
- ดึงดูดแมลง ดอกพวงชมพูเป็นแหล่งอาหารของผึ้ง ผีเสื้อ และแมลงผสมเกสรอื่นๆ ช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในสวน
- ปรับปรุงภูมิทัศน์ ช่วยลดความกระด้างของสิ่งปลูกสร้าง เช่น รั้วคอนกรีต หรือกำแพง ทำให้ดูเป็นธรรมชาติและอ่อนโยนยิ่งขึ้น
วิธีการปลูก
- การเตรียมดิน
- ชอบดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี และมีอินทรียวัตถุเพียงพอ
- ควรมีการปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
- แสงแดด
- เป็นพืชที่ต้องการแสงแดดจัดตลอดวัน (Full Sun) อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อการออกดอกที่สมบูรณ์และสวยงาม
- หากได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ ต้นอาจจะยืดและออกดอกน้อย
- การปลูก
- การเพาะเมล็ด เมล็ดพวงชมพูมีเปลือกแข็ง ควรนำไปแช่น้ำอุ่นทิ้งไว้ 1 คืนก่อนเพาะ หรือใช้วิธีการทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดบางลง (scarification) แล้วนำไปเพาะในวัสดุเพาะที่ระบายน้ำได้ดี
- การปักชำ เลือกกิ่งแก่ที่สมบูรณ์ ตัดยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร เด็ดใบล่างออก ปักลงในวัสดุเพาะชำที่ระบายน้ำได้ดี รดน้ำให้ชุ่มและอบด้วยถุงพลาสติกเพื่อรักษาความชื้น
- การตอน เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดี เลือกกิ่งที่สมบูรณ์ กรีดรอบเปลือกแล้วหุ้มด้วยขุยมะพร้าวชุ่มน้ำ เมื่อรากงอกดีแล้วจึงตัดไปปลูก
- การย้ายปลูก หากเพาะจากเมล็ดหรือปักชำ ควรย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูกหรือกระถางเมื่อต้นแข็งแรงพอ โดยเว้นระยะห่างตามความเหมาะสม เนื่องจากเป็นไม้เลื้อยขนาดใหญ่
- การรดน้ำ
- ในช่วงแรกของการปลูกและตั้งตัว ควรรดน้ำให้สม่ำเสมอทุกวัน
- เมื่อต้นโตเต็มที่แล้ว จะทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี สามารถรดน้ำวันเว้นวัน หรือเมื่อดินแห้ง แต่ควรรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอในช่วงที่ออกดอก
- หลีกเลี่ยงการรดน้ำจนดินแฉะขัง เพราะอาจทำให้รากเน่าได้
- การให้ปุ๋ย
- ช่วงแรกของการเจริญเติบโต สามารถใส่ปุ๋ยบำรุงต้นไม้ทั่วไป หรือปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมัก
- เมื่อต้นโตเต็มที่และต้องการกระตุ้นการออกดอก สามารถใส่ปุ๋ยสูตรตัวกลางสูง (เช่น 8-24-24) หรือปุ๋ยสำหรับไม้ดอก ปีละ 2-3 ครั้ง
- การตัดแต่ง
- ควรตัดแต่งกิ่งที่แห้ง ตาย หรือไม่เป็นระเบียบออก เพื่อให้ทรงพุ่มสวยงามและช่วยกระตุ้นการแตกกิ่งใหม่
- สามารถตัดแต่งควบคุมขนาดและทิศทางของเถาได้ตามต้องการ
- ค้างหรือโครงสร้างรองรับ
- เนื่องจากเป็นไม้เลื้อยที่เลื้อยได้ไกลและมีน้ำหนัก ควรจัดเตรียมโครงสร้างรองรับที่แข็งแรง เช่น ซุ้มไม้เลื้อย, รั้ว, หรือระแนง เพื่อให้พวงชมพูยึดเกาะและเจริญเติบโตได้อย่างสวยงาม