เมล็ดพันธุ์ ฟักทองญี่ปุ่นผิวเขียว

30 ฿

  • จำนวน 5 เมล็ด
  • ปลูกคลุมดิน/ปรับปรุงทัศนียภาพ สามารถปลูกเป็นพืชคลุมดินชั่วคราว]
  • สารคิวเคอร์บิตาซิน (Cucurbitacins) มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ
  • ใยอาหาร สูง ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และควบคุมน้ำหนัก

ฟักทองญี่ปุ่นผิวเขียว 5 เมล็ด

ฟักทองญี่ปุ่นผิวเขียว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cucurbita moschata Duchesne) ฟักทองญี่ปุ่นผิวเขียวเป็นฟักทองในตระกูลสควอช (Squash) ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง ภาคเหนือของเม็กซิโก และภาคตะวันตกของอเมริกาเหนือ มีลักษณะเด่นคือผลทรงกลมค่อนข้างแบน เปลือกมีสีเขียวเข้ม ผิวเนียน เมื่อผ่าออกมาจะพบเนื้อสีเหลืองเข้มถึงส้ม เนื้อแน่น ละเอียด เนียน และมีรสชาติหวานมัน สามารถรับประทานได้ทั้งเปลือก โดยทั่วไปน้ำหนักผลจะอยู่ที่ประมาณ 0.5-2 กิโลกรัม เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็กถึงกลาง

คุณสมบัติ

  • ลักษณะผล ผลทรงกลมค่อนข้างแบน ผิวสีเขียวเข้ม บางสายพันธุ์อาจมีลายทางสีครีม
  • เนื้อ เนื้อสีเหลืองเข้มถึงส้ม เนื้อแน่น ละเอียด เนียน มีความเหนียวและรสชาติหวานมัน
  • ขนาด ขนาดผลพอเหมาะสำหรับบริโภคในครัวเรือน (เฉลี่ย 0.5-2 กิโลกรัม)
  • การปลูก ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีความเป็นกรดด่าง (pH) ประมาณ 5.5-6.5

ประโยชน์ของฟักทองญี่ปุ่นผิวเขียว

  1. เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีสูงมาก ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ชะลอความแก่ และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคหัวใจ
  2. วิตามินและแร่ธาตุ
    • วิตามินเอ สูงมาก ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และระบบภูมิคุ้มกัน
    • วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด และบำรุงผิวพรรณ
    • วิตามินบี 1, บี 2, บี 3 (ไนอะซิน), บี 5, บี 6, บี 9 (โฟเลต) ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง การเผาผลาญพลังงาน และการสร้างเม็ดเลือด
    • ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง
    • แคลเซียม บำรุงกระดูกและฟัน
    • แมกนีเซียม, แมงกานีส, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, สังกะสี แร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการทำงานของร่างกาย
  3. ใยอาหาร สูง ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และควบคุมน้ำหนัก
  4. ไขมันต่ำและแคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
  5. สารคิวเคอร์บิตาซิน (Cucurbitacins) มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ
  6. กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
  7. สรรพคุณทางยาแผนโบราณ เชื่อว่าช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต บำรุงตับ ไต และสายตา รวมถึงช่วยขับพยาธิในลำไส้

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมพื้นที่และดิน

    • พื้นที่ ควรเป็นพื้นที่ราบ ไม่มีน้ำท่วมขัง มีแสงแดดเพียงพอ (อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน) หากปลูกในกระถางหรือภาชนะ ควรมีขนาดใหญ่พอรองรับการเลื้อยของลำต้นและผล
    • ดิน ชอบดินร่วน ดินร่วนปนทราย ที่ระบายน้ำได้ดี ไม่แน่น มีค่า pH อยู่ที่ 5.5 – 6.5 ควรปรับปรุงดินโดยการเติมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว

    2. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

    • สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่จะให้ผลผลิตดีที่สุดในช่วงต้นฤดูหนาว ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม หรือพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เนื่องจากช่วงหน้าหนาวจะได้ดอกตัวเมียเยอะ ทำให้มีโอกาสติดผลฟักทองมากขึ้น

    3. การปลูก

    • การปลูกแบบหยอดเมล็ด
      • ขุดหลุมเล็กๆ ลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร
      • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
      • หยอดเมล็ดฟักทองลงไปหลุมละ 3-5 เมล็ด
      • กลบด้วยดินผสมละเอียดหรือขี้เถ้าแกลบดำ
      • รดน้ำให้ชุ่ม และคลุมด้วยฟางเพื่อรักษาความชุ่มชื้น
      • เมื่อต้นกล้างอกและมีใบจริง 2-3 ใบ ให้ถอนต้นที่อ่อนแอออก เหลือไว้หลุมละ 1 ต้น
    • การปลูกแบบเพาะกล้า
      • นำเมล็ดฟักทองล้างน้ำ 1-2 ครั้ง แช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที
      • ห่อเมล็ดด้วยผ้าขาวบาง นำไปบ่มไว้ในกล่องพลาสติกใส 3-5 วัน จนเมล็ดแตกราก
      • ย้ายเมล็ดที่แตกรากแล้วไปเพาะในถาดเพาะกล้าหรือถุงเพาะชำ (ใช้วัสดุปลูกเช่น กาบมะพร้าวสับผสมขุยมะพร้าว 50:50 หรือดินผสมปุ๋ยคอก)
      • รดน้ำเป็นประจำ เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 1-2 ใบ (หรืออายุประมาณ 10-15 วัน) จึงย้ายลงแปลงปลูกหรือกระถางที่เตรียมไว้

    4. การดูแลรักษา

    • การรดน้ำ รดน้ำให้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงที่ฟักทองออกดอกและติดผล ระวังอย่าให้ดอกเปียกน้ำมากเกินไป
    • การให้ปุ๋ย สามารถใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 บำรุงต้นเป็นระยะ
    • การทำค้าง ฟักทองเป็นพืชเลื้อย หากไม่มีพื้นที่ให้เลื้อยไปตามพื้น ควรทำค้างหรือซุ้มให้ลำต้นเลื้อยขึ้นไป
    • การเด็ดยอด การเด็ดยอดแขนงที่ไม่จำเป็นจะช่วยให้สารอาหารไปเลี้ยงผลฟักทองได้เต็มที่
    • การควบคุมศัตรูพืช หมั่นสังเกตและป้องกันแมลงศัตรูพืชที่อาจเข้าทำลาย

    5. การเก็บเกี่ยว

    • ฟักทองญี่ปุ่นจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 85-120 วัน หลังหยอดเมล็ดหรือย้ายกล้าลงแปลง
    • สังเกตผลที่แก่เต็มที่ โดยสีเปลือกจะเข้มสม่ำเสมอ และเมื่อลองใช้เล็บจิกดูจะมียางเยิ้มติดออกมา แสดงว่าพร้อมเก็บเกี่ยวและให้รสชาติดี