ฟักทองญี่ปุ่นผิวเขียว 5 เมล็ด
ฟักทองญี่ปุ่นผิวเขียว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cucurbita moschata Duchesne) ฟักทองญี่ปุ่นผิวเขียวเป็นฟักทองในตระกูลสควอช (Squash) ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง ภาคเหนือของเม็กซิโก และภาคตะวันตกของอเมริกาเหนือ มีลักษณะเด่นคือผลทรงกลมค่อนข้างแบน เปลือกมีสีเขียวเข้ม ผิวเนียน เมื่อผ่าออกมาจะพบเนื้อสีเหลืองเข้มถึงส้ม เนื้อแน่น ละเอียด เนียน และมีรสชาติหวานมัน สามารถรับประทานได้ทั้งเปลือก โดยทั่วไปน้ำหนักผลจะอยู่ที่ประมาณ 0.5-2 กิโลกรัม เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็กถึงกลาง
คุณสมบัติ
- ลักษณะผล ผลทรงกลมค่อนข้างแบน ผิวสีเขียวเข้ม บางสายพันธุ์อาจมีลายทางสีครีม
- เนื้อ เนื้อสีเหลืองเข้มถึงส้ม เนื้อแน่น ละเอียด เนียน มีความเหนียวและรสชาติหวานมัน
- ขนาด ขนาดผลพอเหมาะสำหรับบริโภคในครัวเรือน (เฉลี่ย 0.5-2 กิโลกรัม)
- การปลูก ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีความเป็นกรดด่าง (pH) ประมาณ 5.5-6.5
ประโยชน์ของฟักทองญี่ปุ่นผิวเขียว
- เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีสูงมาก ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ชะลอความแก่ และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคหัวใจ
- วิตามินและแร่ธาตุ
- วิตามินเอ สูงมาก ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และระบบภูมิคุ้มกัน
- วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด และบำรุงผิวพรรณ
- วิตามินบี 1, บี 2, บี 3 (ไนอะซิน), บี 5, บี 6, บี 9 (โฟเลต) ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง การเผาผลาญพลังงาน และการสร้างเม็ดเลือด
- ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง
- แคลเซียม บำรุงกระดูกและฟัน
- แมกนีเซียม, แมงกานีส, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, สังกะสี แร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการทำงานของร่างกาย
- ใยอาหาร สูง ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และควบคุมน้ำหนัก
- ไขมันต่ำและแคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
- สารคิวเคอร์บิตาซิน (Cucurbitacins) มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ
- กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
- สรรพคุณทางยาแผนโบราณ เชื่อว่าช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต บำรุงตับ ไต และสายตา รวมถึงช่วยขับพยาธิในลำไส้
วิธีการปลูก
-
การเตรียมพื้นที่และดิน
- พื้นที่ ควรเป็นพื้นที่ราบ ไม่มีน้ำท่วมขัง มีแสงแดดเพียงพอ (อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน) หากปลูกในกระถางหรือภาชนะ ควรมีขนาดใหญ่พอรองรับการเลื้อยของลำต้นและผล
- ดิน ชอบดินร่วน ดินร่วนปนทราย ที่ระบายน้ำได้ดี ไม่แน่น มีค่า pH อยู่ที่ 5.5 – 6.5 ควรปรับปรุงดินโดยการเติมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว
2. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก
- สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่จะให้ผลผลิตดีที่สุดในช่วงต้นฤดูหนาว ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม หรือพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เนื่องจากช่วงหน้าหนาวจะได้ดอกตัวเมียเยอะ ทำให้มีโอกาสติดผลฟักทองมากขึ้น
3. การปลูก
- การปลูกแบบหยอดเมล็ด
- ขุดหลุมเล็กๆ ลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร
- รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
- หยอดเมล็ดฟักทองลงไปหลุมละ 3-5 เมล็ด
- กลบด้วยดินผสมละเอียดหรือขี้เถ้าแกลบดำ
- รดน้ำให้ชุ่ม และคลุมด้วยฟางเพื่อรักษาความชุ่มชื้น
- เมื่อต้นกล้างอกและมีใบจริง 2-3 ใบ ให้ถอนต้นที่อ่อนแอออก เหลือไว้หลุมละ 1 ต้น
- การปลูกแบบเพาะกล้า
- นำเมล็ดฟักทองล้างน้ำ 1-2 ครั้ง แช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที
- ห่อเมล็ดด้วยผ้าขาวบาง นำไปบ่มไว้ในกล่องพลาสติกใส 3-5 วัน จนเมล็ดแตกราก
- ย้ายเมล็ดที่แตกรากแล้วไปเพาะในถาดเพาะกล้าหรือถุงเพาะชำ (ใช้วัสดุปลูกเช่น กาบมะพร้าวสับผสมขุยมะพร้าว 50:50 หรือดินผสมปุ๋ยคอก)
- รดน้ำเป็นประจำ เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 1-2 ใบ (หรืออายุประมาณ 10-15 วัน) จึงย้ายลงแปลงปลูกหรือกระถางที่เตรียมไว้
4. การดูแลรักษา
- การรดน้ำ รดน้ำให้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงที่ฟักทองออกดอกและติดผล ระวังอย่าให้ดอกเปียกน้ำมากเกินไป
- การให้ปุ๋ย สามารถใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 บำรุงต้นเป็นระยะ
- การทำค้าง ฟักทองเป็นพืชเลื้อย หากไม่มีพื้นที่ให้เลื้อยไปตามพื้น ควรทำค้างหรือซุ้มให้ลำต้นเลื้อยขึ้นไป
- การเด็ดยอด การเด็ดยอดแขนงที่ไม่จำเป็นจะช่วยให้สารอาหารไปเลี้ยงผลฟักทองได้เต็มที่
- การควบคุมศัตรูพืช หมั่นสังเกตและป้องกันแมลงศัตรูพืชที่อาจเข้าทำลาย
5. การเก็บเกี่ยว
- ฟักทองญี่ปุ่นจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 85-120 วัน หลังหยอดเมล็ดหรือย้ายกล้าลงแปลง
- สังเกตผลที่แก่เต็มที่ โดยสีเปลือกจะเข้มสม่ำเสมอ และเมื่อลองใช้เล็บจิกดูจะมียางเยิ้มติดออกมา แสดงว่าพร้อมเก็บเกี่ยวและให้รสชาติดี