แรดิชเบรคฟาสต์ 35 เมล็ด
แรดิชเบรคฟาสต์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Raphanus sativus L.) เป็นแรดิชสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีลักษณะเด่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นพืชในตระกูลเดียวกับกะหล่ำปลีและบรอกโคลี (วงศ์ Brassicaceae) ส่วนที่นำมารับประทานคือส่วนหัวที่เจริญเติบโตอยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นรากที่สะสมอาหาร มักมีรูปร่างยาวรีคล้ายแครอทขนาดเล็ก หรือทรงกระบอก ปลายมน สีผิวส่วนบนเป็นสีแดงอมชมพูหรือแดงสด และไล่ลงไปจนถึงปลายที่เป็นสีขาว เนื้อด้านในมีสีขาวสะอาด มีความกรอบ รสชาติเผ็ดร้อนเล็กน้อย (น้อยกว่าแรดิชหัวกลมบางพันธุ์) และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มักจะเก็บเกี่ยวเมื่ออายุยังไม่มาก เพื่อให้ได้ความกรอบและรสชาติที่ดีที่สุด นิยมนำมารับประทานสด โดยเฉพาะในสลัด หรือฝานบางๆ ทานคู่กับเนยและเกลือ (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “Breakfast Radish”)
คุณสมบัติ
- ลักษณะหัว รูปร่างยาวรี ทรงกระบอก หรือคล้ายนิ้วมือ ขนาดเล็กถึงปานกลาง ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร
- สีผิว ส่วนบนสีแดงอมชมพู หรือแดงสด ไล่โทนสีลงมาที่ปลายหัวเป็นสีขาว
- เนื้อ สีขาวสะอาด มีความกรอบแน่น รสชาติเผ็ดร้อนอ่อนๆ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
- อายุเก็บเกี่ยว เป็นพืชอายุสั้น เก็บเกี่ยวได้เร็ว โดยทั่วไปประมาณ 20-30 วันหลังหยอดเมล็ด
- การเจริญเติบโต เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็นถึงปานกลาง ชอบแสงแดดเต็มที่
- ความง่ายในการปลูก เป็นพืชที่ปลูกง่าย โตเร็ว เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
ประโยชน์ของแรดิชเบรคฟาสต์
- วิตามินซีสูง เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด บำรุงผิวพรรณให้สดใส และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
- ใยอาหาร มีใยอาหารสูง ช่วยในระบบขับถ่าย ลดปัญหาท้องผูก และช่วยรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร
- โพแทสเซียม ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกายและความดันโลหิตให้ปกติ
- วิตามินบีรวม (B-complex vitamins) มีวิตามินบีหลายชนิดในปริมาณเล็กน้อย เช่น โฟเลต (วิตามินบี 9) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ใหม่
- สารต้านอนุมูลอิสระ มีสารประกอบฟีนอลิกและแอนโทไซยานิน (ที่ให้สีแดงอมชมพู) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ
- ซัลเฟอร์และสารกลูโคซิโนเลต (Glucosinolates) สารเหล่านี้ทำให้เกิดรสเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุนเฉพาะตัว มีคุณสมบัติในการช่วยล้างพิษในร่างกาย และบางการศึกษาชี้ว่าอาจมีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง
- แคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือรักษาสุขภาพ เพราะมีแคลอรี่ต่ำมาก
วิธีการปลูก
1.การเตรียมพื้นที่และดิน
- แสงแดด แรดิชชอบแสงแดดจัด อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
- ดิน ชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี อุดมสมบูรณ์ มีอินทรียวัตถุสูง ค่า pH อยู่ระหว่าง 6.0-7.0 (เป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลาง)
- การเตรียมแปลง พรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร กำจัดวัชพืชและเศษหินออก ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว เพื่อให้ดินร่วนซุยและมีธาตุอาหารเพียงพอ
2. การเตรียมเมล็ดและการปลูก
- การเตรียมเมล็ด โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องแช่เมล็ดแรดิชก่อนปลูก เพราะเมล็ดงอกง่าย
- การปลูก
- หยอดเมล็ดโดยตรง แรดิชไม่ชอบการย้ายปลูก ดังนั้นควรหยอดเมล็ดโดยตรงลงในแปลงปลูกหรือกระถาง
- ทำร่อง ทำร่องปลูกลึกประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร
- หยอดเมล็ด หยอดเมล็ดลงในร่อง โดยเว้นระยะห่างระหว่างเมล็ดประมาณ 2-3 เซนติเมตร (หากปลูกถี่ไปจะทำให้หัวไม่โต)
- กลบเมล็ด กลบเมล็ดด้วยดินละเอียดบางๆ
- รดน้ำ รดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังปลูก
3. การดูแลรักษา
- การรดน้ำ รดน้ำให้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนและช่วงที่หัวกำลังเจริญเติบโต ดินควรชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ เพราะหากดินแห้งสลับเปียกอาจทำให้หัวแรดิชแตก หรือมีรสชาติเผ็ดร้อนจัด
- การพรวนดิน/กำจัดวัชพืช คอยพรวนดินเบาๆ รอบโคนต้นเพื่อไม่ให้ดินแน่นเกินไป และกำจัดวัชพืชที่แย่งอาหารออก
- การถอนแยก เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ (ประมาณ 1 สัปดาห์หลังงอก) ให้ถอนแยกต้นที่อ่อนแอหรือต้นที่ขึ้นถี่เกินไปออก ให้เหลือระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 5-7 เซนติเมตร เพื่อให้หัวแรดิชมีพื้นที่เจริญเติบโตได้เต็มที่
- การให้ปุ๋ย หากดินมีความอุดมสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยมากนัก แต่ถ้าดินไม่สมบูรณ์ อาจใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ในปริมาณน้อยๆ ในช่วงต้นกล้า
4. การเก็บเกี่ยว
- แรดิชเบรคฟาสต์เป็นพืชอายุสั้น โดยทั่วไปสามารถเก็บเกี่ยวได้ภายใน 20-30 วันหลังหยอดเมล็ด (หรือเมื่อหัวมีขนาดประมาณ 5-10 เซนติเมตร)
- วิธีเก็บเกี่ยว ค่อยๆ ดึงหัวแรดิชขึ้นมาจากดินอย่างระมัดระวัง
- ข้อควรระวัง ไม่ควรปล่อยให้แรดิชแก่เกินไป เพราะหัวจะเริ่มแข็ง มีรสชาติเผ็ดร้อนจัดขึ้น และเนื้ออาจกลายเป็นโพรงได้