มูลค้างคาว อัดเม็ด 1 ลิตร ใช้งานได้ ปลดปล่อยธาตุอาหารต่อเนื่อง
มูลค้างคาวเกิดจากการย่อยอาหารของค้างคาว
ที่มาของมูลค้างคาว
- อาหารที่ค้างคาวกิน
- แมลงต่างๆ (สำหรับค้างคาวกินแมลง)
- ผลไม้และน้ำหวานจากดอกไม้ (สำหรับค้างคาวกินผลไม้)
- น้ำหวานจากเกสรดอกไม้ (สำหรับค้างคาวกินน้ำหวาน)
กระบวนการเกิด
- ค้างคาวกินอาหารในเวลากลางคืน
- อาหารผ่านกระบวนการย่อยในระบบทางเดินอาหาร
- สารอาหารถูกดูดซึมไปใช้
- กากอาหารที่เหลือถูกขับถ่ายออกมาเป็นมูล
- มูลสะสมตัวตามพื้นถ้ำเป็นเวลานาน
- เกิดการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ในถ้ำ
- แร่ธาตุต่างๆ ถูกเปลี่ยนรูปให้พืชสามารถนำไปใช้ได้
มูลค้างคาวที่นิยมใช้ในการเกษตรแบ่งได้เป็น 3 ชนิดหลักตามลักษณะการแปรรูป
- มูลค้างคาวดิบ (มูลสด)
- เป็นมูลที่เก็บจากถ้ำโดยตรง ยังไม่ผ่านการแปรรูป
- มีกลิ่นแรง และความชื้นสูง
- ต้องนำไปตากแห้งก่อนใช้
- ราคาถูกที่สุด แต่ขนส่งยาก
- มูลค้างคาวบด (แบบผง)
- ผ่านการตากแห้งและบดละเอียด
- สะดวกในการใช้งาน ละลายน้ำง่าย
- กระจายตัวในดินได้ดี
- ต้องระวังการฟุ้งกระจายเวลาใช้
- มูลค้างคาวอัดเม็ด
- ผ่านการแปรรูปมากที่สุด โดยนำมูลบดมาอัดเป็นเม็ด
- สะดวกในการใช้งานและขนส่ง
- ละลายช้ากว่าแบบผง ปลดปล่อยธาตุอาหารแบบค่อยเป็นค่อยไป
- เก็บรักษาง่าย ไม่ฟุ้งกระจาย
- ราคาสูงที่สุดในบรรดามูลค้างคาวทั้งหมด
นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งตามแหล่งที่มาของมูลค้างคาว ซึ่งจะมีปริมาณธาตุอาหารต่างกัน เช่น
- มูลค้างคาวจากถ้ำหินปูน – มักมีฟอสฟอรัสสูง
- มูลค้างคาวจากถ้ำหินแกรนิต – มักมีโพแทสเซียมสูง
คุณภาพของมูลค้างคาวจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ชนิดของค้างคาว
- อายุของมูล
- สภาพแวดล้อมในถ้ำ
- กระบวนการเก็บและแปรรูป
คุณสมบัติและประโยชน์
- มูลค้างคาวมีธาตุไนโตรเจนสูง (8-12%) ฟอสฟอรัส (8-15%) และโพแทสเซียม (1-2%)
- ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์
- กระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช ทำให้ใบเขียวสด แตกยอดดี
- ช่วยเร่งการออกดอกออกผล เพิ่มผลผลิต
- ปลอดภัยต่อพืช ไม่มีสารเคมีตกค้าง
วิธีใช้งาน
- การใส่ลงดินโดยตรง: หว่านรอบโคนต้น แล้วพรวนดินกลบ ใช้ 20-50 กรัมต่อต้น
- การละลายน้ำ: ละลาย 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร รดโคนต้นหรือฉีดพ่นทางใบ
- ควรใส่ทุก 1-2 เดือน หรือตามความเหมาะสม
การเก็บรักษา
- เก็บในที่แห้ง อากาศถ่ายเทดี ไม่โดนแดดหรือฝนโดยตรง
- ควรเก็บในภาชนะปิดมิดชิด เช่น ถุงพลาสติกหนา หรือถังพลาสติกมีฝาปิด
- หากเก็บถูกวิธีสามารถเก็บได้นาน 1-2 ปี
- ควรสังเกตความชื้นและกลิ่นผิดปกติ หากพบให้แยกออกทันที