เมล็ดพันธุ์ พริกช่อจีนสีเหลือง

30 ฿

  • จำนวน 20 เมล็ด
  • ต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร
  • แคปไซซิน (Capsaicin) เป็นสารที่ให้ความเผ็ดในพริก มีคุณสมบัติช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด
  • ช่วยบรรเทาอาการต่างๆ เช่น อาการปวดฟัน เจ็บคอ การอักเสบของผิวหนัง ปวดศีรษะ ปวดเส้นเอ็น โรคเกาต์ ข้อต่ออักเสบ

พริกช่อจีนสีเหลือง 20 เมล็ด

พริกช่อจีนสีเหลือง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Capsicum frutescens) พริกช่อจีนสีเหลือง คือพริกสายพันธุ์หนึ่งที่มีลักษณะพิเศษคือจะออกผลรวมกันเป็นช่อ ช่อละประมาณ 7-8 ผล หรือมากกว่านั้น เมื่อผลอ่อนจะมีสีเขียวอ่อน แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อสุก และบางพันธุ์อาจเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเมื่อแก่จัดเต็มที่ มีรสชาติเผ็ดจัด

คุณสมบัติ

  • ลักษณะต้น เป็นทรงพุ่มไม่สูงมากนัก
  • ลักษณะผล ออกผลเป็นช่อ ชูชันชี้ฟ้า ผลมีขนาดเล็กถึงปานกลาง
  • สีของผล ผลอ่อนสีเขียวอ่อน เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง (และบางพันธุ์อาจเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อแก่จัด)
  • รสชาติ มีรสเผ็ดจัด ระดับความเผ็ดประมาณ 40,000 – 80,000 SHU (Scoville Heat Units)
  • การติดผล ติดผลดกมากเป็นช่อเป็นพวง
  • การปรับตัว ต้านทานโรค ปรับตัวได้ดี ปลูกง่าย ปลูกได้ทุกภาค
  • อายุเก็บเกี่ยว ประมาณ 60 วันหลังย้ายปลูก
  • ผลผลิต ให้ผลผลิตสูง

ประโยชน์ของพริกช่อจีนสีเหลือง

  1. ใช้ประกอบอาหาร เนื่องจากมีรสชาติเผ็ดจัด จึงนิยมนำไปใช้ประกอบอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อน โดยเฉพาะในอาหารจีน อาหารเสฉวน และซอสเผ็ดต่างๆ
  2. พืชประดับ ด้วยลักษณะการติดผลเป็นช่อสีสันสวยงาม ทำให้พริกช่อจีนสีเหลืองเป็นที่นิยมปลูกเพื่อประดับตกแต่งบ้านและสวน
  3. สรรพคุณทางยา (โดยทั่วไปของพริก)
    • แคปไซซิน (Capsaicin) เป็นสารที่ให้ความเผ็ดในพริก มีคุณสมบัติช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดความดันโลหิต เสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง
    • ช่วยบรรเทาอาการต่างๆ เช่น อาการปวดฟัน เจ็บคอ การอักเสบของผิวหนัง ปวดศีรษะ ปวดเส้นเอ็น โรคเกาต์ ข้อต่ออักเสบ
    • กระตุ้นการอยากอาหาร ช่วยให้เจริญอาหาร
    • ต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมเมล็ด

    • นำเมล็ดพริกไปแช่ในน้ำอุ่นประมาณ 1 วัน (24 ชั่วโมง)
    • นำเมล็ดขึ้นมาผึ่งแดดอีกครึ่งวัน
    • แกะเมล็ดออกจากเปลือก (ถ้ามี) ก่อนนำไปปลูก
  2. การเพาะเมล็ด

    • เพาะเมล็ดในกระถางเพาะหรือถาดเพาะ โดยใช้ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี
    • รดน้ำให้ชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ
    • วางไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง
  3. การย้ายกล้าปลูก

    • เมื่อต้นกล้าแข็งแรง มีใบจริง 2-3 คู่ หรือสูงประมาณ 10-15 ซม. จึงย้ายลงปลูกในกระถางหรือแปลงปลูก
    • ระยะห่างระหว่างต้นที่เหมาะสมสำหรับการปลูกแบบชิดคือประมาณ 50-80 ซม. (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และความสูงของต้น)
  4. การดูแลรักษา

    • การรดน้ำ รดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้ง ทั้งเช้าและเย็น สังเกตการระบายน้ำในดิน อย่าให้น้ำขัง
    • แสงแดด วางกระถางหรือแปลงปลูกในที่ที่โดนแสงแดดเต็มที่
    • การพรวนดิน พรวนดินบ้างเพื่อกำจัดวัชพืชและช่วยระบายอากาศในดิน
    • การใส่ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้ง หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยที่โคนต้นโดยตรง เพราะอาจทำให้รากเน่าได้ ควรใส่รอบๆ โคนต้น
    • การป้องกันศัตรูพืช หมั่นสังเกตและกำจัดศัตรูพืช เช่น หนอนผีเสื้อ หากพบหนอน สามารถใช้วิธีเก็บออกด้วยมือ หรือใช้ผงดินเบาโรยรอบๆ ต้น เพื่อป้องกัน
    • การตัดแต่งกิ่ง อาจมีการตัดแต่งกิ่งที่ไม่จำเป็นเพื่อส่งเสริมการแตกยอดและเพิ่มผลผลิต
  5. การเก็บเกี่ยว

    • สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 60 วันหลังย้ายปลูก
    • เก็บเกี่ยวเมื่อผลมีสีเหลืองตามต้องการ หรือหากต้องการให้มีสีแดงสด ให้รอจนกว่าจะแก่จัด