เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดข้าวเหนียว 50 เมล็ด
ข้าวโพดข้าวเหนียว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Zea mays L. subsp. mays) ข้าวโพดข้าวเหนียว คือข้าวโพดสายพันธุ์หนึ่งที่มีลักษณะพิเศษคือมีปริมาณอะไมโลเพกติน (Amylopectin) ในเมล็ดสูงมาก (เกือบ 100%) และมีอะไมโลส (Amylose) ต่ำ ซึ่งต่างจากข้าวโพดชนิดอื่น ๆ ที่มีปริมาณอะไมโลสสูงกว่า ลักษณะทางพันธุกรรมนี้ทำให้เมื่อสุกแล้วเมล็ดข้าวโพดข้าวเหนียวจะมีความเหนียวนุ่ม ยืดหยุ่น และไม่ร่วนเหมือนข้าวโพดหวานหรือข้าวโพดแป้งทั่วไป จึงเป็นที่มาของชื่อ “ข้าวโพดข้าวเหนียว” ที่อ้างอิงจากลักษณะเหนียวนุ่มคล้ายข้าวเหนียว
คุณสมบัติ
- เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม เป็นคุณสมบัติเด่นที่สุดของข้าวโพดข้าวเหนียว เมล็ดมีความเหนียวนุ่ม ยืดหยุ่น ไม่ร่วนหรือกรอบ
- รสชาติ มีรสชาติอร่อย หอมข้าวโพด และมีความหวานธรรมชาติในระดับที่พอเหมาะ ไม่หวานจัดเท่าข้าวโพดหวาน
- สีของเมล็ด มีหลากหลายสี ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เช่น ขาว, ม่วง (ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำ), เหลือง (ข้าวโพดเทียนน้ำผึ้ง), ดำ, หรือมีลายสองสี (ข้าวโพดเทียนลาย)
- อายุเก็บเกี่ยว ค่อนข้างสั้น โดยทั่วไปประมาณ 60-75 วันหลังปลูก (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพอากาศ)
- การเก็บรักษา คงความเหนียวนุ่มได้ดีกว่าข้าวโพดหวานหลังการเก็บเกี่ยว แต่ก็ควรบริโภคหรือแปรรูปโดยเร็วที่สุดเพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ลำต้นมีความสูงปานกลางถึงสูง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี
ประโยชน์ของข้าวโพดข้าวเหนียว
- เพื่อการบริโภค เป็นแหล่งอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย โดยเฉพาะการนำมาต้ม นึ่ง หรือปิ้งรับประทานเป็นอาหารว่าง หรือเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหาร
- ให้พลังงาน เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ดี ให้พลังงานที่ยั่งยืนแก่ร่างกาย
- ใยอาหารสูง ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร
- อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ
- วิตามินบีรวม (B1, B3, B5, B6, B9) มีส่วนสำคัญในการเผาผลาญพลังงานและบำรุงระบบประสาท
- โพแทสเซียม ช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายและความดันโลหิต
- ฟอสฟอรัส จำเป็นต่อสุขภาพกระดูกและฟัน
- แมกนีเซียม สำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
- หากเป็นสายพันธุ์สีม่วง (เช่น ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำ) จะมีสาร แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
- พืชเศรษฐกิจ เป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้สำคัญให้กับเกษตรกรในหลายพื้นที่
วิธีการปลูก
- การเลือกเมล็ดพันธุ์
- เลือกสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและตลาดในพื้นที่
- เลือกซื้อเมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพและอัตราการงอกที่ดี
- สภาพดินและแสงแดด
- ดิน: ชอบดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้ำได้ดี และมีค่า pH อยู่ระหว่าง 6.0-7.0
- แสงแดด: ต้องการแสงแดดจัดเต็มวัน (อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้เต็มที่และให้ผลผลิตดี
- ช่วงเวลาปลูก
- สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีในพื้นที่ที่มีระบบน้ำเพียงพอและอุณหภูมิเหมาะสม
- ในสภาพแวดล้อมที่มีฤดู ควรปลูกหลังจากพ้นช่วงน้ำค้างแข็งสุดท้าย และเมื่ออุณหภูมิของดินสูงกว่า ()
- การเตรียมดิน
- ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 25-30 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 7-10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและศัตรูพืชในดิน
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและปรับปรุงโครงสร้างดิน
- ปรับหน้าดินให้เรียบ และเตรียมร่องปลูกหรือหลุมปลูก
- การหว่านเมล็ด
- ระยะปลูก หยอดเมล็ดลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร
- ปลูกเป็นกลุ่ม/บล็อก เพื่อช่วยให้การผสมเกสรมีประสิทธิภาพ ควรปลูกเป็นกลุ่มสี่เหลี่ยมจัตุรัสอย่างน้อย 4×4 ต้น หรือปลูกเป็นแถวหลายๆ แถวใกล้กัน (อย่างน้อย 3-4 แถว)
- ระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 75-90 เซนติเมตร
- ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 20-30 เซนติเมตร (โดยทั่วไปหยอด 2-3 เมล็ดต่อหลุม แล้วถอนแยกเหลือ 1 ต้นที่แข็งแรงที่สุดเมื่อต้นโต)
- กลบดินบางๆ และรดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังหยอดเมล็ด
- ระยะปลูก หยอดเมล็ดลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร
- การดูแลรักษา
- การรดน้ำ ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวโพดเริ่มออกดอกและติดฝัก ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดต่อการสร้างผลผลิต
- การให้ปุ๋ย
- ปุ๋ยรองพื้น อาจใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50-70 กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนปลูกหรือพร้อมปลูก
- ปุ๋ยบำรุง
- ครั้งที่ 1 (เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 15-20 วัน หรือมีใบจริง 4-5 ใบ) ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูง เช่น ยูเรีย (46-0-0) หรือปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
- ครั้งที่ 2 (เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 30-40 วัน หรือช่วงเริ่มออกไหม/ดอก) ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อบำรุงฝักและเมล็ดให้สมบูรณ์
- การกำจัดวัชพืช หมั่นกำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วง 30 วันแรกหลังปลูก เพื่อลดการแข่งขันธาตุอาหารและน้ำ
- การป้องกันกำจัดศัตรูพืชและโรค เฝ้าระวังหนอนเจาะฝักข้าวโพด, หนอนกระทู้ข้าวโพด, เพลี้ยอ่อน และโรคทางใบต่างๆ หากมีการระบาด ควรใช้มาตรการป้องกันกำจัดที่เหมาะสม เช่น การใช้สารชีวภัณฑ์หรือสารเคมีที่ได้รับอนุญาต
- การเก็บเกี่ยว
- เก็บเกี่ยวเมื่อไหมที่ปลายฝักแห้งเป็นสีน้ำตาลหรือดำ และเมล็ดเต่งตึงเต็มฝัก (ประมาณ 18-20 วันหลังออกไหม)
- ทดสอบความสุกโดยการบีบเมล็ด หากมีน้ำนมสีขาวขุ่นไหลออกมาแสดงว่าสุกพอดี
- ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าที่อากาศยังเย็น เพื่อรักษาความสดใหม่และคุณภาพของฝัก
- ข้าวโพดข้าวเหนียวจะคงความเหนียวนุ่มได้ดีกว่าข้าวโพดหวานหลังการเก็บเกี่ยว แต่ก็ควรบริโภคหรือแปรรูปโดยเร็วที่สุดเพื่อรักษาคุณภาพที่ดีที่สุด