เมล็ดพันธุ์ มะเขือเทศลูกท้อสีเหลือง

30 ฿

  • จำนวน 20 เมล็ด
  • โพแทสเซียม ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกายและความดันโลหิตให้ปกติ
  • แคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
  • วิตามินซี สูงมาก ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงผิวพรรณให้สดใส

มะเขือเทศลูกท้อสีเหลือง 20 เมล็ด

มะเขือเทศลูกท้อสีเหลือง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Solanum lycopersicum L.) เป็นมะเขือเทศสายพันธุ์หนึ่งที่มีลักษณะพิเศษคือ ผิวสัมผัสที่บางและมีขนละเอียดคล้ายกับผิวลูกท้อ อันเป็นที่มาของชื่อ “ลูกท้อ” สีของผลเป็นสีเหลืองสดใส หรือเหลืองอมส้มเล็กน้อย เนื้อด้านในมีสีเหลืองอ่อนถึงเหลืองทอง มีความฉ่ำน้ำ รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีความนุ่มนวลกว่ามะเขือเทศพันธุ์อื่นๆ บางครั้งอาจมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มะเขือเทศชนิดนี้มักมีขนาดปานกลาง ประมาณ 5-7 เซนติเมตร จัดเป็นมะเขือเทศประเภทผลใหญ่ (Slicing Tomato) ที่นิยมนำมารับประทานสด ทำสลัด หรือประกอบอาหารที่ต้องการสีสันและรสชาติที่นุ่มนวล

คุณสมบัติ

  • ลักษณะผล ผลกลมมน หรือรูปทรงคล้ายลูกท้อเล็กน้อย ขนาดปานกลาง (เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-7 ซม.)
  • สีผิว สีเหลืองสดใส หรือเหลืองทอง อาจมีแต้มสีชมพูอ่อนๆ เมื่อสุกจัดในบางสายพันธุ์
  • ผิวสัมผัส จุดเด่นคือ ผิวบางและมีขนละเอียดนุ่มปกคลุมคล้ายผิวลูกท้อ
  • เนื้อ สีเหลืองอ่อนถึงเหลืองทอง เนื้อฉ่ำน้ำ นุ่มนวล รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีความละมุน
  • ประเภทการเจริญเติบโต ส่วนใหญ่เป็นประเภท indeterminate (เลื้อย) ซึ่งหมายถึงต้นจะเติบโตและออกดอกติดผลไปเรื่อยๆ ตลอดฤดูปลูกจนกว่าสภาพอากาศจะไม่อำนวย
  • อายุเก็บเกี่ยว โดยทั่วไปประมาณ 70-85 วัน หลังย้ายกล้า

ประโยชน์ของมะเขือเทศลูกท้อสีเหลือง

  1. วิตามินซี สูงมาก ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงผิวพรรณให้สดใส และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ
  2. วิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีสูงในมะเขือเทศสีเหลือง ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อกระจก และยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
  3. ไลโคปีน (Lycopene) แม้ว่ามะเขือเทศสีแดงจะมีไลโคปีนสูงกว่า แต่ในมะเขือเทศสีเหลืองก็ยังมีไลโคปีนในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น ไฟโตอีน (Phytoene) และ ไฟโตฟลูอีน (Phytofluene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจและหลอดเลือด
  4. ใยอาหาร มีใยอาหารช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
  5. โพแทสเซียม ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกายและความดันโลหิตให้ปกติ
  6. สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น ฟลาโวนอยด์และสารประกอบฟีนอลิก ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
  7. แคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

วิธีการปลูก

1.การเตรียมเมล็ดและวัสดุปลูก

  • เมล็ดพันธุ์ หาซื้อเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศลูกท้อสีเหลืองจากแหล่งที่เชื่อถือได้
  • วัสดุเพาะเมล็ด ใช้พีทมอส (Peat moss) หรือดินผสมสำหรับเพาะเมล็ดโดยเฉพาะ เนื้อละเอียด ระบายน้ำได้ดี และปราศจากเชื้อโรค
  • กระถาง/ภาชนะปลูก เนื่องจากเป็นพันธุ์เลื้อย ควรเลือกกระถางที่มีขนาดใหญ่พอสมควร (เส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 30-40 ซม.) เพื่อรองรับระบบรากและการเจริญเติบโตของลำต้น หรือปลูกลงในแปลงดินโดยตรง
  • อุปกรณ์ทำค้าง เตรียมไม้ค้ำยัน เหล็ก หรือกรงมะเขือเทศ (tomato cage) สำหรับรองรับการเลื้อยของลำต้น

2. การเพาะเมล็ด

  • แช่เมล็ด แช่เมล็ดในน้ำอุ่นประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
  • เพาะในถาดเพาะกล้า โรยเมล็ดบนวัสดุเพาะที่เตรียมไว้ กลบด้วยวัสดุเพาะบางๆ (ไม่เกิน 0.5 ซม.)
  • รดน้ำ พ่นละอองน้ำเบาๆ ให้วัสดุเพาะชุ่มชื้น คลุมด้วยพลาสติกใสเพื่อรักษาความชื้นและอุณหภูมิ
  • การงอก เมล็ดจะเริ่มงอกภายใน 7-14 วัน วางถาดเพาะในที่ร่มรำไร มีอากาศถ่ายเทดี

3. การย้ายกล้าปลูก

  • ช่วงเวลาที่เหมาะสม เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 คู่ หรือสูงประมาณ 15-20 เซนติเมตร (ประมาณ 3-4 สัปดาห์หลังงอก) ก็พร้อมที่จะย้ายลงกระถางหรือแปลงปลูกถาวร
  • ดินปลูก ใช้ดินปลูกที่อุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี และมีอินทรียวัตถุสูง อาจผสมปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยอินทรีย์อื่นๆ
  • การย้าย ค่อยๆ แคะต้นกล้าออกมาพร้อมรากและดินเดิมให้มากที่สุด ย้ายลงหลุมที่เตรียมไว้ โดยให้ฝังต้นลึกกว่าเดิมเล็กน้อย (ประมาณ 2-3 ซม.) เพื่อกระตุ้นให้เกิดรากใหม่
  • รดน้ำ รดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังย้ายปลูก

4. การดูแลรักษา

  • แสงแดด มะเขือเทศลูกท้อสีเหลืองต้องการแสงแดดจัดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อการเจริญเติบโตที่ดีและให้ผลผลิตดก
  • การรดน้ำ รดน้ำให้สม่ำเสมอและเพียงพอ ดินควรชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ ควรหลีกเลี่ยงการรดน้ำแบบสเปรย์โดนใบโดยตรง เพื่อลดความเสี่ยงของโรคเชื้อรา
  • การทำค้าง/ค้ำยัน เนื่องจากเป็นพันธุ์เลื้อยและมีผลดก การทำค้างหรือใช้กรงมะเขือเทศเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อพยุงลำต้นและผลไม่ให้หักเสียหาย
  • การเด็ดยอด/แต่งกิ่ง
    • เด็ดยอดแขนง (Suckers) ควรเด็ดยอดแขนงที่งอกออกมาจากซอกใบบริเวณลำต้นหลักออกเป็นประจำ เพื่อให้สารอาหารไปเลี้ยงลำต้นหลักและผลผลิตได้อย่างเต็มที่ และช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดี
    • ตัดแต่งใบ อาจตัดแต่งใบล่างๆ ที่สัมผัสพื้นดินหรือใบที่เหลือง/เป็นโรคออกบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงของโรค
  • การให้ปุ๋ย
    • ช่วงแรก (หลังย้ายปลูก) ใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเล็กน้อย เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของลำต้นและใบ (เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16)
    • ช่วงออกดอกและติดผล เปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง (เช่น สูตร 8-24-24 หรือปุ๋ยสำหรับไม้ผล) เพื่อส่งเสริมการออกดอกและการพัฒนาของผล
    • ให้ปุ๋ยเป็นประจำทุก 2-4 สัปดาห์ตามคำแนะนำของปุ๋ย
  • ศัตรูพืชและโรค หมั่นสำรวจแปลงปลูก หากพบแมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ย หนอน ให้ใช้วิธีธรรมชาติ หรือสารชีวภัณฑ์ในการกำจัด หากเป็นโรคพืช เช่น โรคใบไหม้ ควรตัดส่วนที่เป็นโรคทิ้งและดูแลสุขอนามัยของแปลงปลูก

5. การเก็บเกี่ยว

  • มะเขือเทศลูกท้อสีเหลืองจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 70-85 วันหลังย้ายกล้า
  • วิธีเก็บเกี่ยว เก็บเกี่ยวเมื่อผลเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดใส (หรือสีตามลักษณะของสายพันธุ์นั้นๆ) สัมผัสแล้วนิ่มเล็กน้อย และสามารถเด็ดออกจากขั้วได้ง่าย
  • ยิ่งเก็บเกี่ยวผลสุกบ่อยๆ ต้นก็จะยิ่งผลิตดอกและผลใหม่ได้เรื่อยๆ ตลอดฤดูปลูก