เมล็ดพันธุ์ แรดิชกลมสีขาว

30 ฿

  • จำนวน 35 เมล็ด
  • วิตามินซี เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • โพแทสเซียมมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย ควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ
  • สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น สารประกอบฟีนอลิกต่างๆ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

แรดิชกลมสีขาว 35 เมล็ด

แรดิชกลมสีขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Raphanus sativus L.) แรดิชกลมสีขาว เป็นแรดิชสายพันธุ์หนึ่งที่โดดเด่นด้วยรูปทรงกลมขนาดเล็กถึงปานกลาง และมีผิวรวมถึงเนื้อด้านในเป็นสีขาวสะอาดตา จัดอยู่ในพืชตระกูลกะหล่ำ (วงศ์ Brassicaceae) เช่นเดียวกับแรดิชชนิดอื่นๆ ส่วนที่นำมารับประทานคือรากสะสมอาหารที่เจริญเติบโตอยู่ใต้ดิน ซึ่งมีลักษณะเป็นหัวกลมสีขาว เนื้อสัมผัสกรอบแน่น และมีรสชาติเผ็ดร้อนเล็กน้อยถึงปานกลาง มักมีรสอ่อนกว่าแรดิชหัวแดงบางพันธุ์ นิยมรับประทานสดในสลัด หรือนำไปดอง ตกแต่งจานอาหาร

คุณสมบัติ

  • ลักษณะหัว ทรงกลม ขนาดเล็กถึงปานกลาง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-5 เซนติเมตร
  • สีผิว สีขาวสะอาดทั่วทั้งหัว
  • เนื้อ สีขาวละเอียด กรอบแน่น ฉ่ำน้ำ รสชาติเผ็ดร้อนเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • อายุเก็บเกี่ยว เป็นพืชอายุสั้น เก็บเกี่ยวได้ค่อนข้างเร็ว โดยทั่วไปประมาณ 25-35 วันหลังหยอดเมล็ด ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการดูแล
  • การเจริญเติบโต เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศค่อนข้างเย็นถึงปานกลาง (อุณหภูมิที่เหมาะสมประมาณ 10-18 องศาเซลเซียส) และต้องการแสงแดดเต็มที่
  • ความง่ายในการปลูก เป็นพืชที่ปลูกง่ายและโตเร็ว เหมาะสำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ต้องการผลผลิตเร่งด่วน

ประโยชน์ของแรดิชกลมสีขาว

  1. วิตามินซี เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ และช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนเพื่อสุขภาพผิว
  2. ใยอาหาร มีใยอาหารสูง ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้
  3. โพแทสเซียม มีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย ควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ และสนับสนุนการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
  4. สารกลุ่มกลูโคซิโนเลต (Glucosinolates) เป็นสารประกอบที่ทำให้แรดิชมีรสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นเฉพาะตัว เมื่อถูกย่อยสลายจะให้สารไอโซไธโอไซยาเนต (Isothiocyanates) ซึ่งมีการศึกษาพบว่ามีฤทธิ์ในการต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และช่วยในการล้างพิษในร่างกาย
  5. สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น สารประกอบฟีนอลิกต่างๆ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
  6. แคลอรี่ต่ำ เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ
  7. ช่วยย่อยอาหาร สารบางชนิดในแรดิชอาจช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำดี ทำให้การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีการปลูก

  1. 1. การเตรียมพื้นที่และดิน

    • แสงแดด เลือกพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดเต็มที่อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
    • ดิน แรดิชชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี และอุดมสมบูรณ์ pH ของดินควรอยู่ที่ 6.0-7.0 (เป็นกลาง)
    • การเตรียมแปลง พรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร กำจัดวัชพืช หิน และเศษซากพืชออกให้หมด ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว เพื่อให้ดินโปร่งและมีธาตุอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของหัวแรดิช

    2. การเตรียมเมล็ดและการปลูก

    • การเตรียมเมล็ด โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องแช่เมล็ดแรดิชก่อนปลูก เพราะเมล็ดงอกง่าย
    • การปลูกโดยตรง แรดิชไม่ชอบการย้ายปลูก เนื่องจากรากอาจเสียหายได้ง่าย ดังนั้นควรหยอดเมล็ดโดยตรงลงในแปลงปลูกหรือกระถาง
      • ทำร่อง/หลุม ทำร่องปลูกลึกประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร หรือขุดหลุมเล็กๆ
      • หยอดเมล็ด หยอดเมล็ดลงในร่อง โดยเว้นระยะห่างระหว่างเมล็ดประมาณ 2-3 เซนติเมตร (หากปลูกถี่เกินไป หัวแรดิชจะเล็กและไม่สมบูรณ์) หากปลูกในกระถาง อาจหยอด 3-4 เมล็ดในกระถางเดียวแล้วค่อยถอนแยกออก
      • กลบเมล็ด กลบเมล็ดด้วยดินละเอียดบางๆ
      • รดน้ำ รดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังหยอดเมล็ด โดยใช้บัวรดน้ำฝอยละเอียดเพื่อไม่ให้เมล็ดกระเด็น

    3. การดูแลรักษา

    • การรดน้ำ รดน้ำให้สม่ำเสมอและเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแห้งแล้ง และช่วงที่หัวแรดิชกำลังขยายตัว ดินควรชุ่มชื้นตลอดเวลาแต่ไม่แฉะ หากดินขาดน้ำสลับกับได้รับน้ำมากเกินไป อาจทำให้หัวแรดิชแตก หรือมีรสชาติเผ็ดจัดและเนื้อไม่กรอบ
    • การพรวนดิน/กำจัดวัชพืช หมั่นพรวนดินรอบๆ โคนต้นเบาๆ เพื่อให้ดินโปร่งและรากอากาศได้สะดวก รวมถึงกำจัดวัชพืชออกไป เพราะวัชพืชจะแย่งธาตุอาหารและน้ำจากแรดิช
    • การถอนแยก เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ (ประมาณ 1 สัปดาห์หลังงอก) ให้ถอนแยกต้นที่อ่อนแอหรือต้นที่ขึ้นถี่เกินไปออก เหลือระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 5-7 เซนติเมตร เพื่อให้แต่ละต้นมีพื้นที่เพียงพอสำหรับหัวที่จะขยายตัว
    • การให้ปุ๋ย หากดินที่เตรียมไว้มีความอุดมสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมมากนัก แต่ถ้าดินไม่สมบูรณ์ อาจเสริมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมีที่มีไนโตรเจนต่ำแต่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงเล็กน้อย (เช่น สูตร 8-24-24) ในปริมาณน้อยๆ เพื่อส่งเสริมการลงหัว

    4. การเก็บเกี่ยว

    • แรดิชกลมสีขาวสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อหัวมีขนาดตามที่ต้องการ ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 25-35 วันหลังหยอดเมล็ด
    • วิธีเก็บเกี่ยว ค่อยๆ ดึงหัวแรดิชขึ้นมาจากดินอย่างระมัดระวัง พร้อมกับใบติดมาด้วย
    • ข้อควรระวัง ไม่ควรปล่อยให้แรดิชแก่เกินไป เพราะเนื้อจะเริ่มแข็ง เป็นโพรง รสชาติเผ็ดจัดขึ้น และอาจแตกได้