เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเทียนลาย

30 ฿

  • จำนวน 40 เมล็ด
  • อุดมไปด้วยวิตามินบีต่างๆ (เช่น B1, B2, B3, B5, B6, B9), วิตามินซี, และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย
  • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นแหล่งพลังงานที่ดี ให้พลังงานต่อเนื่องและยั่งยืน
  • ลวดลายที่สวยงามของเมล็ดสามารถใช้เพื่อการตกแต่ง หรือในงานฝีมือได้เช่นกัน
  • ใยอาหาร สูง ช่วยในการขับถ่าย บรรเทาอาการท้องผูก และรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร

เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเทียนลาย 40 เมล็ด

ข้าวโพดเทียนลาย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Zea mays ceratina) ข้าวโพดเทียนลายคือข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมที่โดดเด่นด้วยเมล็ดที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ โดยส่วนใหญ่จะพบเป็นสีขาวสลับกับสีม่วงอ่อน ม่วงเข้ม หรือสีดำบนเมล็ดเดียวกัน ทำให้เกิดเป็นลวดลายที่สวยงามคล้ายกับข้าวโพดเทียนทั่วไป แต่มีสีสันและลวดลายที่หลากหลายกว่า เมล็ดมีความเหนียวนุ่ม มีรสชาติเฉพาะตัว และนิยมนำมาต้มหรือปิ้งรับประทาน

คุณสมบัติ

  • ลวดลายเมล็ด จุดเด่นที่สุดคือเมล็ดที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ มักเป็นสีขาวสลับกับสีม่วงหรือดำในเมล็ดเดียวกัน ทำให้ดูสวยงามและน่าสนใจ
  • เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม เช่นเดียวกับข้าวโพดข้าวเหนียวทั่วไป เมล็ดมีปริมาณอะไมโลเพกตินสูง ทำให้เมื่อสุกแล้วจะมีความเหนียวนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง
  • รสชาติเฉพาะตัว มีรสชาติอร่อย หอมข้าวโพด และมีความเป็นเอกลักษณ์ ไม่หวานจัดเท่าข้าวโพดหวาน
  • อายุเก็บเกี่ยว ประมาณ 60-65 วันหลังปลูก หรือประมาณ 18-20 วันหลังออกไหม (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการดูแล)
  • ความสูงต้น/ฝัก ความสูงต้นประมาณ 170-180 เซนติเมตร และตำแหน่งฝักสูงประมาณ 90-100 เซนติเมตร
  • ขนาดฝัก ความยาวฝักโดยประมาณ 17-19 เซนติเมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-4.5 เซนติเมตร (อาจแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์)

ประโยชน์ของข้าวโพดเทียนลาย

  1. เพื่อการบริโภค เป็นข้าวโพดที่นิยมนำมาต้ม ปิ้ง ย่าง หรือนึ่งรับประทาน เมล็ดมีความเหนียวนุ่มและรสชาติดี เหมาะสำหรับเป็นอาหารว่างหรืออาหารหลัก
  2. คุณค่าทางโภชนาการ
    • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เป็นแหล่งพลังงานที่ดี ให้พลังงานต่อเนื่องและยั่งยืน
    • ใยอาหาร สูง ช่วยในการขับถ่าย บรรเทาอาการท้องผูก และรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร
    • วิตามินและแร่ธาตุ อุดมไปด้วยวิตามินบีต่างๆ (เช่น B1, B2, B3, B5, B6, B9), วิตามินซี, และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, แมกนีเซียม, เหล็ก, และสังกะสี
    • สารต้านอนุมูลอิสระ (Anthocyanin) หากมีสีม่วงเข้มในเมล็ด ก็จะมีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคหัวใจ
  3. เพื่อการตกแต่ง/ความสวยงาม ลวดลายที่สวยงามของเมล็ดสามารถใช้เพื่อการตกแต่ง หรือในงานฝีมือได้เช่นกัน
  4. ความหลากหลายทางชีวภาพ การปลูกข้าวโพดเทียนลายช่วยส่งเสริมความหลากหลายของสายพันธุ์ข้าวโพดและอนุรักษ์สายพันธุ์พื้นเมือง

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมดิน
    • เลือกพื้นที่ที่ระบายน้ำดี ได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน
    • ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 25-30 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 7-10 วัน
    • ปรับสภาพดินด้วยปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ (หากดินเป็นกรด) อัตรา 500-1,000 กิโลกรัมต่อไร่
    • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1,000-2,000 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
    • พรวนดินให้ละเอียดและทำเป็นร่องปลูกหรือหลุมปลูก
  2. การปลูก
    • ระยะปลูก
      • แบบแถวเดี่ยว เว้นระยะห่างระหว่างแถว 75 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร (ปลูก 1-2 เมล็ดต่อหลุม)
      • แบบแถวคู่ ยกร่องปลูกที่มีระยะห่างระหว่างร่อง 120-150 เซนติเมตร ปลูก 2 แถวบนร่อง ห่างกัน 30 เซนติเมตร และมีระยะห่างระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร (ปลูก 1-2 เมล็ดต่อหลุม)
    • หยอดเมล็ดลงในหลุมที่เตรียมไว้ ลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร กลบดินบางๆ และรดน้ำให้ชุ่มทันที
  3. การให้น้ำ
    • ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงที่ข้าวโพดเริ่มออกดอกและติดฝัก ควรให้น้ำอย่างเพียงพอ เพราะเป็นช่วงที่ข้าวโพดต้องการน้ำมากที่สุดเพื่อสร้างผลผลิต
    • รดน้ำทุก 3-5 วัน หรือตามสภาพอากาศ ไม่ควรปล่อยให้ดินแห้งสนิท
  4. การให้ปุ๋ย
    • ครั้งที่ 1 (อายุ 20-25 วัน) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 (ยูเรีย) หรือ 21-0-0 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ หรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
    • ครั้งที่ 2 (อายุ 40-45 วัน หรือช่วงออกไหม) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อบำรุงฝักให้สมบูรณ์
    • ควรใส่ปุ๋ยโดยการโรยข้างต้นแล้วกลบ หรือละลายน้ำรด
  5. การกำจัดวัชพืชและพรวนดิน
    • กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วง 30 วันแรกหลังปลูก เพราะวัชพืชจะแก่งแย่งอาหารจากต้นข้าวโพด
    • การพรวนดินจะช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น และช่วยกำจัดวัชพืชไปในตัว
  6. การผสมเกสร: หากปลูกในพื้นที่เล็กๆ อาจช่วยผสมเกสรโดยการเขย่าต้นเบาๆ หรือนำเกสรตัวผู้มาเคาะลงบนไหมของฝัก เพื่อให้มีการผสมเกสรอย่างทั่วถึง
  7. การป้องกันกำจัดศัตรูพืชและโรค
    • เฝ้าระวังหนอนเจาะฝัก, หนอนกระทู้ข้าวโพด, หรือเพลี้ยอ่อน
    • ใช้สารชีวภาพหรือสารเคมีที่เหมาะสมหากมีการระบาดรุนแรง
  8. การเก็บเกี่ยว
    1. เก็บเกี่ยวเมื่อไหมที่ปลายฝักแห้งเป็นสีน้ำตาลหรือดำ และเมล็ดเต่งตึงเต็มฝัก (ประมาณ 18-20 วันหลังไหมออก)
    2. ไม่ควรปล่อยให้ข้าวโพดแก่เกินไป เพราะจะทำให้เมล็ดแข็งและไม่เหนียวนุ่ม
    3. ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าที่อากาศไม่ร้อนจัด เพื่อรักษาความสดใหม่ของฝัก