เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำ

30 ฿

  • จำนวน 60 เมล็ด
  • ใยอาหารสูงช่วยในการขับถ่ายและรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร
  • ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำมีสารสำคัญอย่างแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ให้สีม่วงในพืชผักผลไม้ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย
  • ตำรายาแผนไทยบางส่วนระบุว่าเมล็ดข้าวโพดมีรสหวานมัน ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงปอด และขับปัสสาวะ
  • ข้าวโพดข้าวเหนียวมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยได้ช้ากว่าคาร์โบไฮเดรตประเภทอื่น ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานมาก

เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำ 60 เมล็ด

ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Zea mays ceratina) ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำคือข้าวโพดข้าวเหนียวที่มีเมล็ด, ซัง, และไหมเป็นสีม่วงแดงไปจนถึงม่วงดำ โดย “ก่ำ” เป็นคำพื้นเมืองที่หมายถึงสีดำหรือสีม่วงดำ โดยบางสายพันธุ์อาจมีเมล็ดสีขาวสลับม่วงได้ด้วย ข้าวโพดข้าวเหนียวมีลักษณะเด่นที่ความเหนียวนุ่มของเมล็ดเมื่อสุก ซึ่งแตกต่างจากข้าวโพดหวานทั่วไปที่มีเนื้อสัมผัสกรอบและรสหวานจัด ซึ่งเป็นที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

คุณสมบัติ

  • สีม่วงเข้ม
    •  เมล็ดข้าวโพดมีสีม่วงแดงถึงม่วงดำ บางสายพันธุ์อาจมีเมล็ดสีขาวสลับกับสีม่วง
  • เนื้อเหนียวนุ่ม
    • มีปริมาณอะไมโลเพกติน (Amylopectin) สูง ทำให้มีเนื้อสัมผัสเหนียว นุ่ม ไม่ร่วนเหมือนข้าวโพดหวาน
  • รสชาติ
    •  มีรสชาติอร่อย หอมข้าวโพด
  • อายุเก็บเกี่ยว
    • โดยทั่วไปประมาณ 60-65 วัน หลังปลูก หรือ 18-20 วันหลังออกไหม
  • ความสูงต้น/ฝัก
    • ความสูงต้นโดยเฉลี่ยประมาณ 170-180 เซนติเมตร และตำแหน่งฝักสูงประมาณ 90-100 เซนติเมตร
  • ขนาดฝัก
    • ความยาวฝักประมาณ 17-18 เซนติเมตร และความกว้างฝักประมาณ 4-4.5 เซนติเมตร

ประโยชน์ของข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำ

  1. คุณค่าทางอาหารสูง ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำมีสารสำคัญอย่างแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ให้สีม่วงในพืชผักผลไม้ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น
    • ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
    • ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
    • ลดการอักเสบในร่างกาย
    • บำรุงสายตา
  2. ให้พลังงานที่ยั่งยืน ข้าวโพดข้าวเหนียวมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยได้ช้ากว่าคาร์โบไฮเดรตประเภทอื่น ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานมาก เช่น นักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกาย
  3. ใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่ายและรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร
  4. อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินเอ วิตามินบีต่างๆ (B1, B2, B3, B5, B6, B9) วิตามินซี ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และสังกะสี
  5. ช่วยบำรุงร่างกาย ตำรายาแผนไทยบางส่วนระบุว่าเมล็ดข้าวโพดมีรสหวานมัน ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงปอด และขับปัสสาวะ

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมดิน
    • ไถดินลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ตากดินไว้ประมาณ 7-10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและศัตรูพืชในดิน
    • หว่านปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ (หากดินเป็นกรด) เพื่อปรับสภาพดิน อัตรา 500-1,000 กิโลกรัมต่อไร่
    • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1,000-1,500 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
    • พรวนดินให้ละเอียด และอาจใส่ปุ๋ยรองพื้นสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนหยอดเมล็ด
  2. การปลูก
    • ระยะปลูก มี 2 วิธีหลัก
      • ปลูกแบบแถวเดี่ยว เว้นระยะห่างระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น 20-25 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น (บางแหล่งแนะนำ 2-3 เมล็ดต่อหลุม แล้วค่อยถอนแยกเมื่อต้นโต)
      • ปลูกแบบแถวคู่ ยกร่องสูง โดยมีระยะห่างระหว่างร่อง 120-150 เซนติเมตร ปลูกเป็น 2 แถวข้างร่อง ห่างกัน 30 เซนติเมตร และมีระยะห่างระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร (บางแหล่งแนะนำ 3-5 เมล็ดต่อหลุม)
    • หยอดเมล็ดลงหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินบางๆ และรดน้ำตามทันที
  3. การให้น้ำ
    • ให้น้ำหลังปลูกทันที และรดน้ำอย่างสม่ำเสมอทุก 7-14 วัน หรือตามสภาพอากาศ โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวโพดเริ่มออกดอกและติดฝัก ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าวโพดต้องการน้ำมาก
  4. การให้ปุ๋ย
    • ครั้งที่ 1 เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 20-25 วัน หรือตอนทำรุ่นครั้งแรก (กำจัดวัชพืชและพรวนดิน) ใส่ปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่
    • ครั้งที่ 2 เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 40-45 วัน หรือช่วงที่เริ่มออกไหม ใส่ปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ หรืออาจใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 เพิ่มเติม
  5. การกำจัดวัชพืชและพรวนดิน หมั่นกำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นข้าวโพด และพรวนดินเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี
  6. การป้องกันกำจัดศัตรูพืช หมั่นสำรวจและป้องกันกำจัดหนอน แมลง หรือโรคพืชที่อาจเข้าทำลาย
  7. การเก็บเกี่ยว
    • สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 60-65 วัน หลังปลูก หรือสังเกตจากไหมที่ปลายฝักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือดำ และเมล็ดเต่งตึงเต็มฝัก
    • ไม่ควรปล่อยให้ข้าวโพดแก่เกินไป เพราะจะทำให้เนื้อแข็งและเสียรสชาติความเหนียวนุ่ม