เมล็ดพันธุ์ ฟักทองคางคก 30 เมล็ด
ฟักทองคางคก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cucurbita moschata) เป็นชื่อเรียกของฟักทองพันธุ์หนึ่ง ที่มีลักษณะเด่นคือ ผิวของผลขรุขระ เป็นปุ่มป่ำ คล้ายผิวของคางคก ทำให้มีรูปลักษณ์ที่แปลกตาและแตกต่างจากฟักทองผิวเรียบโดยทั่วไป ลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อย มีมือเกาะ ใบเดี่ยวขนาดใหญ่รูปไตหรือคล้ายรูปหัวใจ มีขนอ่อน ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีเหลือง ผลมีรูปร่างกลมแป้น หรือเป็นพู ผิวมีสีเขียวเข้ม เขียวอ่อน หรือสีน้ำตาล มีปุ่มป่ำทั่วทั้งผล เนื้อมีสีเหลืองถึงเหลืองเข้ม รสชาติหวานมัน เมล็ดแบนรีสีขาวครีม มีลักษณะผิวที่ขรุขระเป็นเอกลักษณ์
คุณสมบัติ
- ลักษณะภายนอกโดดเด่น
- ผิวผลขรุขระ เป็นปุ่มป่ำ คล้ายผิวคางคก
- รสชาติหวานมัน
- เนื้อมีรสชาติหวานมันอร่อย
- เนื้อสัมผัส
- เนื้อมีความเหนียวแน่น
- สีเนื้อ
- มีสีเหลืองถึงเหลืองเข้ม
- คุณค่าทางโภชนาการสูง
- อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน โพแทสเซียม และใยอาหาร
- เก็บรักษาได้นาน
- เนื้อแน่นทำให้เก็บรักษาได้นานกว่าฟักทองบางพันธุ์
ประโยชน์ของฟักทองคางคก
- บริโภคเป็นอาหาร
- เป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งคาวและหวาน เช่น แกง ผัด นึ่ง ต้ม ฟักทองผัดไข่ ฟักทองแกงบวด สังขยาฟักทอง
- แหล่งเบต้าแคโรทีนสูง
- เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสายตาและผิวพรรณ
- ใยอาหารสูง
- ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก
- เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุ
- ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและบำรุงร่างกาย
- เมล็ดฟักทอง
- สามารถนำไปอบหรือคั่วรับประทานเป็นของว่าง มีโปรตีนและไขมันดี
- เป็นพืชเศรษฐกิจ
- เป็นที่ต้องการของตลาดและสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร
วิธีการปลูก
-
การเตรียมดิน
- เลือกพื้นที่ปลูกที่ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
- ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน เพื่อกำจัดวัชพืชและแมลง
- ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2-3 ตันต่อไร่ แล้วไถกลบ
-
การเพาะกล้า (แนะนำเพื่อการเจริญเติบโตที่สม่ำเสมอ)
- แช่เมล็ดในน้ำสะอาดประมาณ 6-8 ชั่วโมง
- เพาะในถาดเพาะกล้าด้วยวัสดุเพาะ เช่น พีทมอส หรือดินผสม
- รดน้ำให้ชุ่ม เก็บไว้ในที่ร่มรำไร เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ (ประมาณ 15-20 วัน) จึงย้ายลงแปลงปลูก
-
การปลูก (สามารถหยอดเมล็ดลงแปลงโดยตรงได้)
- ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดประมาณ 50x50x50 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุมและระหว่างแถวประมาณ 1.5-2 เมตร
- นำต้นกล้าลงปลูก กลบดินให้มิดโคนต้น กดดินเบา ๆ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
- หากหยอดเมล็ดโดยตรง ให้หยอด 2-3 เมล็ดต่อหลุม เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ ให้ถอนแยกเหลือหลุมละ 1-2 ต้น
-
การดูแลรักษา
- การให้น้ำ ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต ช่วงออกดอก และติดผล รักษาระดับความชื้นในดินให้สม่ำเสมอ
- การให้ปุ๋ย ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และเมื่อเริ่มติดผลให้ปุ๋ยสูตรที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงขึ้น (เช่น 12-24-12 หรือ 13-13-21) เพื่อส่งเสริมการออกดอกและติดผล
- การทำค้าง (สำหรับบางสายพันธุ์ที่มีเถาเลื้อยยาวมาก) ทำค้างเพื่อให้เถาเลื้อยได้ดีและผลไม่สัมผัสกับดินโดยตรง
- การกำจัดวัชพืช กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ
- การป้องกันและกำจัดโรคแมลง หมั่นตรวจแปลงปลูก หากพบโรคหรือแมลงให้รีบทำการป้องกันและกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม
-
การเก็บเกี่ยว
- ฟักทองคางคกจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 90-120 วัน หลังหยอดเมล็ด ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพอากาศ
- สังเกตลักษณะผลที่แก่จัด เช่น ผิวเปลือกแข็ง เคาะเบา ๆ จะมีเสียงทึบ ขั้วผลแห้งและแข็ง