เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดตักหงายม่วง

30 ฿

  • จำนวน 50 เมล็ด
  • เป็นข้าวโพดที่นิยมนำมาต้ม ปิ้ง ย่าง หรือนึ่งรับประทานเป็นหลัก ด้วยรสชาติที่อร่อย เหนียวนุ่ม และกลิ่นหอมเฉพาะตัว
  • วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินบี วิตามินซี และแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย
  • สารสีม่วงในเมล็ดข้าวโพดมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์

เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดตักหงายม่วง 50 เมล็ด

ข้าวโพดตักหงายม่วง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Zea mays ceratina) ข้าวโพดตักหงายม่วง เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวพันธุ์พื้นเมืองของจังหวัดเลย มีลักษณะเด่นที่เมล็ดมีสีม่วงเข้ม กลิ่นหอม รสชาติเหนียวนุ่ม และเคี้ยวไม่ติดฟัน ทำให้เป็นที่นิยมของผู้บริโภคอย่างมาก ชื่อ “ตักหงาย” มีที่มาจากเรื่องเล่าว่าคนที่ได้ลิ้มลองข้าวโพดชนิดนี้จะอร่อยจนกินเพลิน ต้องกินไปเรื่อยๆ จนหงายหลัง (หงายท้อง) กันเลยทีเดียว ทำให้ได้ชื่อว่า “ตักหงาย” และเมื่อมีสีม่วงจึงเรียกว่า “ตักหงายม่วง”

คุณสมบัติ

  • สีม่วง เมล็ดมีสีม่วงเข้มไปจนถึงม่วงดำ อาจมีสีขาวอมชมพูหรือม่วงอ่อนเมื่อยังอ่อน แล้วเปลี่ยนเป็นม่วงเข้มเมื่อแก่
  • เนื้อสัมผัส เหนียวนุ่ม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และเคี้ยวไม่ติดฟัน (ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่ทำให้แตกต่างจากข้าวโพดข้าวเหนียวทั่วไป)
  • ขนาดฝัก ขนาดฝักค่อนข้างเล็ก ประมาณ 10-15 เซนติเมตร
  • จำนวนฝักต่อต้น เป็นข้าวโพดที่ให้ผลผลิตค่อนข้างดี โดย 1 ต้นสามารถให้ฝักได้ตั้งแต่ 2-6 ฝัก ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
  • อายุเก็บเกี่ยว ประมาณ 52-90 วันหลังปลูก (ขึ้นอยู่กับการจัดการและสภาพอากาศ)
  • การปรับตัว แม้จะเป็นพันธุ์พื้นเมือง แต่เดิมเป็นพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรคราน้ำค้าง ทำให้การปลูกทำได้ยากในบางพื้นที่ กรมวิชาการเกษตรจึงได้ริเริ่มโครงการปรับปรุงพันธุ์ให้ต้านทานโรคราน้ำค้างและให้ผลผลิตสูงขึ้น โดยยังคงรสชาติและกลิ่นหอมแบบเดิมไว้
  • ระบบราก มีระบบรากแขนงที่ไม่ลึกมากนัก (ไม่เกิน 75 ซม.) และมีระบบรากอากาศที่ดี ช่วยพยุงลำต้นไม่ให้ล้ม โดยเฉพาะในดินที่มีความชื้นสูง

ประโยชน์ของข้าวโพดตักหงายม่วง

  1. เพื่อการบริโภค เป็นข้าวโพดที่นิยมนำมาต้ม ปิ้ง ย่าง หรือนึ่งรับประทานเป็นหลัก ด้วยรสชาติที่อร่อย เหนียวนุ่ม และกลิ่นหอมเฉพาะตัว
  2. คุณค่าทางโภชนาการ
    • สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารสีม่วงในเมล็ดข้าวโพดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์ ชะลอความเสื่อมของร่างกาย ลดการอักเสบ และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
    • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ให้พลังงานที่ยั่งยืน
    • ใยอาหาร ช่วยในการขับถ่ายและรักษาสุขภาพลำไส้
    • วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินบี วิตามินซี และแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย
  3. พืชเศรษฐกิจท้องถิ่น เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดเลย
  4. การอนุรักษ์พันธุ์พืช การอนุรักษ์และพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดตักหงายม่วงยังเป็นการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของพืชพื้นเมืองไว้

วิธีการปลูก

  1. การเลือกเมล็ดพันธุ์ ควรใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดตักหงายม่วงสายพันธุ์แท้หรือสายพันธุ์ที่ได้รับการปรับปรุงแล้วจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ได้ลักษณะเด่นและต้านทานโรค
  2. สภาพดินและแสงแดด
    • ดิน ชอบดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์ และมีค่า pH ประมาณ 6.0-7.0
    • แสงแดด ต้องการแสงแดดจัดเต็มวัน (อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง)
  3. ช่วงเวลาปลูก สามารถปลูกได้ตลอดปีในพื้นที่ที่มีระบบน้ำดี แต่ควรหลีกเลี่ยงช่วงที่สภาพอากาศเอื้อต่อการระบาดของโรคราน้ำค้างหากใช้สายพันธุ์ที่อ่อนแอ
  4. การเตรียมดิน
    • ไถดะด้วยผาล 3 หรือ 4 แล้วตากดินไว้ประมาณ 7 วัน
    • ไถพรวนด้วยผาล 7 เพื่อย่อยดินให้ละเอียด
    • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์
    • ทำเป็นร่องปลูกหรือหลุมปลูก
  5. การหว่านเมล็ด
    • การคลุกเมล็ด ก่อนปลูกควรคลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยสารป้องกันเชื้อรา เช่น Apron เพื่อป้องกันโรคราน้ำค้าง (หากเป็นสายพันธุ์ที่ยังไม่ออกฤทธิ์ต้านทานโรค)
    • ระยะปลูก: หยอดเมล็ดลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร
      • ระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 75 เซนติเมตร
      • ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 20-50 เซนติเมตร โดยอาจปลูก 2-3 ต้นต่อหลุม แล้วถอนแยกเหลือ 1 ต้นที่แข็งแรงที่สุดเมื่อต้นโต หรือตามคำแนะนำของเมล็ดพันธุ์นั้นๆ
    • กลบดินบางๆ และรดน้ำให้ชุ่มทันที
  6. การดูแลรักษา
    • การรดน้ำ ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวโพดเริ่มออกดอกและติดฝัก ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญต่อการสร้างผลผลิต
    • การให้ปุ๋ย
      • ปุ๋ยรองพื้น อาจใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50-70 กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนปลูก
      • ปุ๋ยบำรุง เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 20-25 วัน (หลังปลูก) และช่วงเริ่มออกไหม ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูง (เช่น ยูเรีย 46-0-0) หรือปุ๋ยสูตรเสมอ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและการติดฝัก
    • การกำจัดวัชพืช หมั่นกำจัดวัชพืชรอบๆ ต้น โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต
    • การป้องกันกำจัดศัตรูพืชและโรค เฝ้าระวังโรคราน้ำค้างและหนอนเจาะฝักข้าวโพด หากมีการระบาด ควรใช้มาตรการป้องกันกำจัดที่เหมาะสม เช่น การฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์หรือสารเคมีที่ได้รับอนุญาต
    • การจัดการฝัก บางครั้งอาจมีการหักฝักล่างของต้นทิ้งไป 1 ฝัก เพื่อให้ต้นทุ่มเทสารอาหารไปเลี้ยงฝักที่เหลือ (มักจะเป็นฝักที่อยู่ด้านบน) ให้มีคุณภาพดีขึ้น
  7. การเก็บเกี่ยว
    • เก็บเกี่ยวเมื่อไหมที่ปลายฝักแห้งเป็นสีน้ำตาลหรือดำ และเมล็ดเต่งตึงเต็มฝัก (ประมาณ 18-20 วันหลังออกไหม)
    • บีบเมล็ดดู หากมีน้ำนมสีขาวขุ่นไหลออกมา แสดงว่าสุกพอดี
    • ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าที่อากาศยังเย็น เพื่อรักษาความสดใหม่และคุณภาพของฝัก
    • ข้าวโพดตักหงายม่วงจะคงความเหนียวนุ่มได้ดีกว่าข้าวโพดหวานหลังการเก็บเกี่ยว แต่ก็ควรบริโภคหรือแปรรูปโดยเร็วที่สุดเพื่อรักษาคุณภาพ