เมล็ดพันธุ์ พยูงไทย

30 ฿

  • จำนวน 50 เมล็ด
  • เนื้อไม้มีสีแดงอมม่วงถึงแดงเลือดหมู มีลวดลายเส้นสีดำแทรกสวยงาม
  • เหมาะสำหรับการทำด้ามเครื่องมือ เครื่องมือช่างและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพราะมีความแข็งแรง
  • เนื้อไม้มีลวดลายสวยงามและมีความแข็งแรง จึงนิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์
  • มีคุณสมบัติทางเสียงที่ดี จึงนิยมนำมาใช้ทำเครื่องดนตรี

เมล็ดพันธุ์ พยูงไทย 50 เมล็ด

พยูงไทย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Dalbergia cochinchinensis Pierre ex Laness.) เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ในวงศ์ Fabaceae (วงศ์ถั่ว) มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโดจีน ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม จัดเป็นไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจสูงมาก เนื่องจากเนื้อไม้มีความแข็งแรง ทนทาน มีลวดลายสวยงาม และหายาก เป็นไม้หวงห้ามตามกฎหมายของไทย ลำต้นตรง เปลือกสีเทาเรียบหรือแตกเป็นร่องตื้น ๆ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ดอกออกเป็นช่อสีขาวนวลหรือชมพูอ่อน ฝักแบนยาว เมื่อแก่จะแห้งและไม่แตก ภายในมีเมล็ดรูปไตสีน้ำตาลเข้ม

คุณสมบัติ

  • เนื้อไม้แข็งแรงและทนทานมาก เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อปลวก มอด และสภาพอากาศได้ดีเยี่ยม ได้รับการยกย่องว่าเป็นไม้ที่มีคุณภาพสูง
  • ลวดลายสวยงาม เนื้อไม้มีสีแดงอมม่วงถึงแดงเลือดหมู มีลวดลายเส้นสีดำแทรกสวยงาม เป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดไม้
  • การเจริญเติบโตช้า เป็นไม้ที่เจริญเติบโตค่อนข้างช้า
  • ทนทานต่อสภาพแวดล้อม สามารถขึ้นได้ดีในดินหลายชนิด แต่ชอบดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำดี ทนแล้งได้ดีพอสมควร
  • ทรงพุ่มสวยงาม มีทรงพุ่มโปร่ง ให้ร่มเงาได้ดี
  • ดอกหอมอ่อน ๆ มีดอกสีขาวนวลหรือชมพูอ่อน มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในช่วงที่ออกดอก

ประโยชน์ของพยูงไทย

  1. ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เนื้อไม้ที่มีคุณภาพสูง ลวดลายสวยงาม และความทนทาน ทำให้เป็นที่นิยมอย่างมากในการนำมาทำเฟอร์นิเจอร์หรูหรา เครื่องเรือน และของตกแต่งบ้านที่มีราคาสูง
  2. ใช้ในการก่อสร้าง ความแข็งแรงและความทนทานของเนื้อไม้ทำให้เหมาะสำหรับการนำมาใช้ในงานก่อสร้างบางประเภท เช่น เสา คาน พื้น ที่ต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ
  3. ใช้ทำเครื่องดนตรี เนื้อไม้พะยูงมีคุณสมบัติทางเสียงที่ดี จึงนิยมนำมาใช้ทำเครื่องดนตรี เช่น กีตาร์ ไวโอลิน และเครื่องดนตรีไทยบางชนิด
  4. ใช้ทำเครื่องมือและอุปกรณ์ ความแข็งแรงทำให้เหมาะสำหรับการทำด้ามเครื่องมือ เครื่องมือช่าง และอุปกรณ์ต่าง ๆ
  5. เป็นไม้ประดับ รูปทรงของต้นและดอกที่สวยงามทำให้พะยูงเป็นไม้ประดับที่มีคุณค่า
  6. ประโยชน์ทางนิเวศวิทยา เป็นไม้ป่าที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ ช่วยรักษาความสมดุลของธรรมชาติและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า

วิธีการปลูก

เนื่องจากพะยูงไทยเป็นไม้หวงห้ามและมีการซื้อขายอย่างผิดกฎหมาย การปลูกจึงควรดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น การอนุรักษ์ การปลูกเพื่อเศรษฐกิจภายใต้การควบคุม หรือการปลูกเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว

  1. การเตรียมดิน เลือกพื้นที่ปลูกที่มีดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีความลึกของหน้าดินพอสมควร และมีอินทรียวัตถุ หากดินไม่ดีควรปรับปรุงด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
  2. การขยายพันธุ์ ส่วนใหญ่ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
    • การเก็บเมล็ด เก็บฝักที่แก่จัดและแห้ง นำเมล็ดออกจากฝัก
    • การเพาะกล้า
      • เพาะในถุงเพาะชำ นำเมล็ดที่สมบูรณ์มาเพาะในถุงเพาะชำที่บรรจุดินผสม (ดินร่วน ปุ๋ยคอก แกลบดำ อัตราส่วน 2:1:1) รดน้ำให้ชุ่ม วางไว้ในที่ร่มรำไร เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 6-12 เดือน หรือมีความสูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร จึงย้ายลงแปลงปลูก
      • เพาะในแปลงเพาะ หว่านเมล็ดในแปลงเพาะที่เตรียมไว้ เมื่อต้นกล้าแข็งแรงและมีขนาดเหมาะสมจึงย้ายไปปลูกในแปลง
  3. การเตรียมหลุมปลูก ขุดหลุมให้มีขนาดกว้าง ยาว และลึกประมาณ 50x50x50 เซนติเมตร หรือใหญ่กว่านั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของต้นกล้า รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักผสมกับดิน
  4. ระยะปลูก ระยะปลูกขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการปลูก หากปลูกเพื่อผลิตไม้คุณภาพ อาจใช้ระยะห่างระหว่างต้น 8-12 เมตร และระยะห่างระหว่างแถว 10-15 เมตร หากปลูกเพื่ออนุรักษ์หรือปลูกร่วมกับพืชอื่น อาจใช้ระยะที่ถี่กว่า
  5. การปลูก นำต้นกล้าลงปลูกในหลุม กลบดินให้มิดโคนต้น กดดินรอบโคนต้นเบา ๆ และรดน้ำให้ชุ่ม
  6. การให้น้ำ ในช่วงแรกของการปลูก ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ต้นกล้าตั้งตัวได้ หลังจากนั้นสามารถให้น้ำตามความเหมาะสม โดยสังเกตจากความชื้นของดิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง
  7. การให้ปุ๋ย ในช่วง 1-2 ปีแรก อาจให้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโต หลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยมากนัก
  8. การกำจัดวัชพืช ควรกำจัดวัชพืชรอบโคนต้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นยังเล็ก เพื่อไม่ให้วัชพืชแย่งอาหารและแสงแดด
  9. การดูแลรักษา อาจมีการค้ำยันต้นกล้าในช่วงแรกเพื่อป้องกันลมโยก และดูแลป้องกันโรคและแมลงที่อาจเข้าทำลาย เนื่องจากพะยูงมีการเจริญเติบโตช้า จึงต้องมีการดูแลรักษาในระยะยาว