เมล็ดพันธุ์ ขี้เหล็ก 50 เมล็ด
ขี้เหล็ก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cassia siamea Lamk) เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยด้วยครับ ลักษณะเด่นของขี้เหล็กคือ
- ลำต้น ตรง เปลือกสีน้ำตาลอมเทา แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มค่อนข้างโปร่ง
- ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยรูปไข่หรือรูปรี ปลายแหลม โคนมน ขอบเรียบ สีเขียวเข้ม
- ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบ มีสีเหลืองสดใส กลีบดอก 5 กลีบ เกสรตัวผู้ 10 อัน
- ฝัก เป็นฝักแบนยาว สีน้ำตาล เมื่อแก่จะแตกออก ภายในมีเมล็ดแบนรูปไข่จำนวนมาก
คุณสมบัติ
ขี้เหล็กมีคุณสมบัติที่น่าสนใจหลายประการ ทั้งในด้านโภชนาการและสรรพคุณทางยา
- ทางโภชนาการ ยอดอ่อนและดอกของขี้เหล็กมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร วิตามิน (เช่น วิตามินเอ วิตามินซี) และแร่ธาตุ (เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก) ในปริมาณที่น่าสนใจ
- สรรพคุณทางยา ส่วนต่างๆ ของขี้เหล็กถูกนำมาใช้ในตำรับยาแผนโบราณอย่างหลากหลาย เช่น
- ใบและดอก มีรสขม ช่วยระบายท้อง บรรเทาอาการท้องผูก แก้ไข้ บำรุงน้ำดี
- เปลือกต้น ช่วยสมานแผล แก้บิด
- เนื้อในฝัก เป็นยาระบายอ่อนๆ
- เมล็ด ช่วยขับพยาธิ
-
- คุณสมบัติอื่นๆ เนื้อไม้ของขี้เหล็กมีความแข็งแรง ทนทานต่อปลวก มอด จึงนิยมนำมาใช้ในการก่อสร้าง ทำเครื่องเรือน และเป็นเชื้อเพลิงได้ดี
ประโยชน์ของขี้เหล็ก
- เป็นอาหาร ยอดอ่อนและดอกขี้เหล็กเป็นที่นิยมนำมาปรุงอาหารหลากหลายชนิด เช่น แกงขี้เหล็ก ยำขี้เหล็ก ผัดขี้เหล็ก มีรสชาติขมเป็นเอกลักษณ์
- เป็นยา ตามที่กล่าวไปข้างต้น ส่วนต่างๆ ของขี้เหล็กมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยบรรเทาอาการและรักษาโรคต่างๆ ได้
- ใช้ในงานไม้ เนื้อไม้ของขี้เหล็กมีคุณภาพดี เหมาะสำหรับการนำมาใช้ในงานก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือทางการเกษตร และอื่นๆ
- ให้ร่มเงา ด้วยทรงพุ่มที่แผ่กว้าง ขี้เหล็กจึงเป็นไม้ให้ร่มเงาที่ดี สามารถปลูกตามบ้านเรือน สวนสาธารณะ หรือริมถนนได้
- ปรับปรุงดิน ใบขี้เหล็กที่ร่วงหล่นสามารถย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ช่วยบำรุงดินได้
- เป็นไม้ประดับ ดอกสีเหลืองสดใสของขี้เหล็กช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับสถานที่ต่างๆ ได้
วิธีการปลูก
การปลูกขี้เหล็กสามารถทำได้หลายวิธี แต่ที่นิยมคือการเพาะเมล็ดและการปักชำ
- การเพาะเมล็ด
- เตรียมเมล็ด เลือกเมล็ดที่แก่จัด สมบูรณ์ นำมาแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 6-12 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
- เพาะกล้า เตรียมดินร่วนผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ใส่ในกระถางเพาะหรือแปลงเพาะ หยอดเมล็ดลงในดินลึกประมาณ 1-2 เซนติเมตร กลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม
- ดูแลต้นกล้า รดน้ำสม่ำเสมอ ให้ได้รับแสงแดดเพียงพอ เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 คู่ สามารถย้ายลงปลูกในแปลงได้
- เตรียมดินปลูก เลือกพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึง ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดใหญ่กว่าตุ้มดินของต้นกล้าเล็กน้อย
- ย้ายกล้า นำต้นกล้าลงปลูก กลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม และหาไม้มาปักค้ำยันป้องกันลมโยก
- การปักชำ
- เลือกกิ่ง เลือกกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนที่สมบูรณ์ ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป ยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร
- เตรียมกิ่งชำ ตัดใบที่โคนกิ่งออก เหลือไว้เพียงส่วนยอดเล็กน้อย จุ่มโคนกิ่งในน้ำยาเร่งราก (ถ้ามี)
- ปักชำ ปักกิ่งชำลงในดินร่วนผสมทรายหรือขุยมะพร้าว รดน้ำให้ชุ่ม นำไปไว้ในที่ร่มรำไร
- ดูแลกิ่งชำ รดน้ำสม่ำเสมอ รักษาความชื้น เมื่อกิ่งชำเริ่มแตกใบใหม่และมีรากแข็งแรงดีแล้ว สามารถย้ายลงปลูกในแปลงได้
- การดูแลรักษา
-
- การให้น้ำ ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงแรกที่ปลูก เมื่อต้นโตแล้วสามารถให้น้ำน้อยลงได้ แต่ควรรดน้ำในช่วงฤดูแล้ง
- การใส่ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อบำรุงต้นให้แข็งแรงและเจริญเติบโตดี
- การกำจัดวัชพืช ควรกำจัดวัชพืชรอบๆ โคนต้นอย่างสม่ำเสมอ
- การตัดแต่งกิ่ง ตัดแต่งกิ่งที่แห้ง เป็นโรค หรือกิ่งที่แน่นทึบเกินไป เพื่อให้ทรงพุ่มโปร่งและแสงแดดส่องถึง