เมล็ดพันธุ์ ถั่วแป๋ 50 เมล็ด
ถั่วแป๋ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Psophocarpus tetragonolobus) เป็นพืชตระกูลถั่ว (Fabaceae) ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นที่นิยมในหลายประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และปาปัวนิวกินี มีลักษณะเด่นคือฝักที่มีครีบ 4 ด้านคล้ายปีก จึงเป็นที่มาของชื่อ “winged bean” ทุกส่วนของถั่วแป๋สามารถนำมารับประทานได้ ไม่ว่าจะเป็นฝักอ่อน เมล็ดอ่อน เมล็ดแก่ หัวใต้ดิน ใบอ่อน และดอก
คุณสมบัติ
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- ลำต้น เป็นไม้เลื้อยพัน มีมือเกาะ สามารถเลื้อยได้ไกล
- ใบ เป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ รูปไข่
- ดอก มีสีฟ้าอ่อน ม่วง หรือขาว ออกเป็นช่อที่ซอกใบ
- ฝัก มีลักษณะยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร มีครีบ 4 ด้านตามยาวคล้ายปีก ภายในมีเมล็ดกลมรี
- เมล็ด มีขนาดเล็ก กลมรี มีสีต่างๆ เช่น ขาว เหลือง น้ำตาล หรือดำ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
- หัวใต้ดิน มีลักษณะคล้ายมันแกว สะสมอาหาร
- คุณค่าทางโภชนาการ ถั่วแป๋เป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด เช่น โปรตีนสูง (ในเมล็ด) คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร วิตามิน (เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี) และแร่ธาตุ (เช่น แคลเซียม เหล็ก โพแทสเซียม) ทุกส่วนของถั่วแป๋มีคุณค่าทางโภชนาการแตกต่างกันไป
- รสชาติและเนื้อสัมผัส
- ฝักอ่อน มีรสชาติคล้ายถั่วลันเตา แต่มีเนื้อสัมผัสที่กรอบกว่าเล็กน้อย
- เมล็ดอ่อน มีรสชาติคล้ายถั่วลิสง
- เมล็ดแก่ ต้องนำไปต้มหรือคั่วก่อนรับประทาน มีรสชาติคล้ายถั่วเหลือง
- หัวใต้ดิน มีรสชาติหวานเล็กน้อย คล้ายมันแกว
- ใบอ่อน มีรสชาติคล้ายผักโขม
- ดอก มีรสชาติหวานเล็กน้อย มักนำไปใส่ในสลัดหรือทอด
ประโยช์ของถั่วแป๋
- ด้านโภชนาการ
- แหล่งโปรตีนสูง โดยเฉพาะในเมล็ด มีปริมาณโปรตีนสูงใกล้เคียงกับถั่วเหลือง จึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติและวีแกน
- ใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- วิตามินและแร่ธาตุ มีวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย
- น้ำมัน เมล็ดแก่มีน้ำมันในปริมาณที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
- ด้านการเกษตร
- ปรับปรุงดิน เป็นพืชตระกูลถั่วที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศลงสู่ดิน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น เหมาะสำหรับการปลูกพืชหมุนเวียน
- ความหลากหลายในการใช้ประโยชน์ ทุกส่วนของต้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ทำให้เป็นพืชที่มีความคุ้มค่าในการปลู
- ทนทานต่อสภาพแวดล้อม สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น และทนทานต่อโรคและแมลงได้ดีพอสมควร
- ด้านอื่นๆ
- ใช้ในการประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งอาหารคาวและหวาน
- ใบอ่อนและดอกสามารถนำมาใช้ตกแต่งจานอาหารได้
วิธีการปลูก
- การเตรียมดิน
- เลือกพื้นที่ปลูกที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
- ดินควรเป็นดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 5.5-6.5
- ไถพรวนดินให้ละเอียด กำจัดวัชพืช และปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
- การเพาะเมล็ด
- แช่เมล็ดในน้ำสะอาดประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
- หยอดเมล็ดลงในแปลงปลูกหรือกระถาง โดยให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 30-50 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 60-90 เซนติเมตร กลบดินหนาประมาณ 2-3 เซนติเมตร
- รดน้ำให้ชุ่ม
- การดูแลรักษา
- การให้น้ำ รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโตและช่วงติดฝัก แต่ระวังอย่าให้น้ำขัง
- การให้ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบถ้วน เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มเติมเมื่อต้นเริ่มเจริญเติบโตและเมื่อเริ่มติดฝัก
- การทำค้าง เนื่องจากเป็นไม้เลื้อย ควรทำค้างให้ต้นเลื้อยเกาะ เพื่อให้การจัดการง่ายขึ้น อากาศถ่ายเทได้ดี และเพิ่มผลผลิต
- การกำจัดวัชพืชและแมลง ควรกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ และดูแลป้องกันแมลงศัตรูพืช เช่น หนอนเจาะฝัก โดยอาจใช้สารชีวภัณฑ์หรือสารเคมีตามความเหมาะสม
- การเก็บเกี่ยว
- ฝักอ่อน เก็บเกี่ยวเมื่อฝักยังมีสีเขียวสดใส ผิวเรียบ และเมล็ดภายในยังเล็ก
- เมล็ดอ่อน เก็บเกี่ยวเมื่อฝักเริ่มแก่ แต่เมล็ดภายในยังนิ่ม
- เมล็ดแก่ ปล่อยให้ฝักแก่และแห้งบนต้น แล้วเก็บเกี่ยวเมล็ด
- หัวใต้ดิน เก็บเกี่ยวเมื่อต้นมีอายุประมาณ 4-6 เดือน
- ใบอ่อนและดอก สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดช่วงการเจริญเติบโต