เมล็ดพันธุ์ ถั่วแป๋

30 ฿

  • จำนวน 50 เมล็ด
  • ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • มีรสชาติหวานเล็กน้อย มักนำไปใส่ในสลัดหรือทอด
  • เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น และทนทานต่อโรคและแมลง
  • ใบอ่อนและดอกสามารถนำมาใช้ตกแต่งจานอาหารได้

เมล็ดพันธุ์ ถั่วแป๋ 50 เมล็ด

ถั่วแป๋ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Psophocarpus tetragonolobus) เป็นพืชตระกูลถั่ว (Fabaceae) ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นที่นิยมในหลายประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และปาปัวนิวกินี มีลักษณะเด่นคือฝักที่มีครีบ 4 ด้านคล้ายปีก จึงเป็นที่มาของชื่อ “winged bean” ทุกส่วนของถั่วแป๋สามารถนำมารับประทานได้ ไม่ว่าจะเป็นฝักอ่อน เมล็ดอ่อน เมล็ดแก่ หัวใต้ดิน ใบอ่อน และดอก

คุณสมบัติ

  • ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
    • ลำต้น เป็นไม้เลื้อยพัน มีมือเกาะ สามารถเลื้อยได้ไกล
    • ใบ เป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ รูปไข่
    • ดอก มีสีฟ้าอ่อน ม่วง หรือขาว ออกเป็นช่อที่ซอกใบ
    • ฝัก มีลักษณะยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร มีครีบ 4 ด้านตามยาวคล้ายปีก ภายในมีเมล็ดกลมรี
    • เมล็ด มีขนาดเล็ก กลมรี มีสีต่างๆ เช่น ขาว เหลือง น้ำตาล หรือดำ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
    • หัวใต้ดิน มีลักษณะคล้ายมันแกว สะสมอาหาร
  • คุณค่าทางโภชนาการ ถั่วแป๋เป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด เช่น โปรตีนสูง (ในเมล็ด) คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร วิตามิน (เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี) และแร่ธาตุ (เช่น แคลเซียม เหล็ก โพแทสเซียม) ทุกส่วนของถั่วแป๋มีคุณค่าทางโภชนาการแตกต่างกันไป
  • รสชาติและเนื้อสัมผัส
    • ฝักอ่อน มีรสชาติคล้ายถั่วลันเตา แต่มีเนื้อสัมผัสที่กรอบกว่าเล็กน้อย
    • เมล็ดอ่อน มีรสชาติคล้ายถั่วลิสง
    • เมล็ดแก่ ต้องนำไปต้มหรือคั่วก่อนรับประทาน มีรสชาติคล้ายถั่วเหลือง
    • หัวใต้ดิน มีรสชาติหวานเล็กน้อย คล้ายมันแกว
    • ใบอ่อน มีรสชาติคล้ายผักโขม
    • ดอก มีรสชาติหวานเล็กน้อย มักนำไปใส่ในสลัดหรือทอด

ประโยช์ของถั่วแป๋

  1. ด้านโภชนาการ
    • แหล่งโปรตีนสูง โดยเฉพาะในเมล็ด มีปริมาณโปรตีนสูงใกล้เคียงกับถั่วเหลือง จึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติและวีแกน
    • ใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    • วิตามินและแร่ธาตุ มีวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย
    • น้ำมัน เมล็ดแก่มีน้ำมันในปริมาณที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
  2. ด้านการเกษตร
    • ปรับปรุงดิน เป็นพืชตระกูลถั่วที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศลงสู่ดิน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น เหมาะสำหรับการปลูกพืชหมุนเวียน
    • ความหลากหลายในการใช้ประโยชน์ ทุกส่วนของต้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ทำให้เป็นพืชที่มีความคุ้มค่าในการปลู
    • ทนทานต่อสภาพแวดล้อม สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น และทนทานต่อโรคและแมลงได้ดีพอสมควร
  3. ด้านอื่นๆ
    • ใช้ในการประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งอาหารคาวและหวาน
    • ใบอ่อนและดอกสามารถนำมาใช้ตกแต่งจานอาหารได้

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมดิน
    • เลือกพื้นที่ปลูกที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
    • ดินควรเป็นดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 5.5-6.5
    • ไถพรวนดินให้ละเอียด กำจัดวัชพืช และปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
  2. การเพาะเมล็ด
    • แช่เมล็ดในน้ำสะอาดประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
    • หยอดเมล็ดลงในแปลงปลูกหรือกระถาง โดยให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 30-50 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 60-90 เซนติเมตร กลบดินหนาประมาณ 2-3 เซนติเมตร
    • รดน้ำให้ชุ่ม
  3. การดูแลรักษา
    • การให้น้ำ รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโตและช่วงติดฝัก แต่ระวังอย่าให้น้ำขัง
    • การให้ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบถ้วน เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มเติมเมื่อต้นเริ่มเจริญเติบโตและเมื่อเริ่มติดฝัก
    • การทำค้าง เนื่องจากเป็นไม้เลื้อย ควรทำค้างให้ต้นเลื้อยเกาะ เพื่อให้การจัดการง่ายขึ้น อากาศถ่ายเทได้ดี และเพิ่มผลผลิต
    • การกำจัดวัชพืชและแมลง ควรกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ และดูแลป้องกันแมลงศัตรูพืช เช่น หนอนเจาะฝัก โดยอาจใช้สารชีวภัณฑ์หรือสารเคมีตามความเหมาะสม
  4. การเก็บเกี่ยว
    • ฝักอ่อน เก็บเกี่ยวเมื่อฝักยังมีสีเขียวสดใส ผิวเรียบ และเมล็ดภายในยังเล็ก
    • เมล็ดอ่อน เก็บเกี่ยวเมื่อฝักเริ่มแก่ แต่เมล็ดภายในยังนิ่ม
    • เมล็ดแก่ ปล่อยให้ฝักแก่และแห้งบนต้น แล้วเก็บเกี่ยวเมล็ด
    • หัวใต้ดิน เก็บเกี่ยวเมื่อต้นมีอายุประมาณ 4-6 เดือน
    • ใบอ่อนและดอก สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดช่วงการเจริญเติบโต