เมล็ดพันธุ์ กระเจี๊ยบเขียวแดง

30 ฿

  • จำนวน 50 เมล็ด
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย
  • เมือกของกระเจี๊ยบสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น เป็นสารเพิ่มความหนืด
  • ฝักอ่อนนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น แกงเลียง ผัด ต้มจิ้มน้ำพริก ชุบแป้งทอด หรือใส่ในสลัด
  • เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

เมล็ดพันธุ์ กระเจี๊ยบเขียวแดง 50 เมล็ด

กระเจี๊ยบเขียวแดง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Abelmoschus esculentus (L.) Moench) มีฝักสีเขียวและสีแดงม่วง โดยทั่วไปแล้ว กระเจี๊ยบมอญเป็นพืชในวงศ์ Malvaceae (วงศ์เดียวกับฝ้ายและชบา) มีลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง มีขนปกคลุม ใบมีลักษณะเป็นแฉกคล้ายใบเมเปิล และมีฝักยาวเรียว ซึ่งมีทั้งสีเขียวและสีแดงม่วงตามสายพันธุ์

คุณสมบัติ

  • ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
    • เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นมีขนปกคลุม ใบเป็นแฉก 3-7 แฉก ดอกมีสีเหลืองหรือสีขาวนวล ตรงกลางดอกมีสีม่วงแดง ฝักยาวเรียว มีสันตามยาว มีทั้งสีเขียวและสีแดงม่วง
  • รสชาติและเนื้อสัมผัส
    • ฝักอ่อนมีรสชาติจืด มีเมือกเล็กน้อย เมื่อนำไปปรุงสุกจะมีความนุ่มหนึบ
  • สารอาหาร
    • อุดมไปด้วยวิตามิน (เช่น วิตามินซี วิตามินเค วิตามินเอ) แร่ธาตุ (เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม) ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ
  • การปรับตัว
    • เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี และแสงแดดจัด

ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวแดง

  1. คุณค่าทางโภชนาการสูง
    • เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
  2. สารต้านอนุมูลอิสระ
    • มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย
  3. ช่วยในการย่อยอาหาร
    • เมือกในกระเจี๊ยบช่วยเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ ลดการระคายเคือง และช่วยในการขับถ่าย
  4. ใช้ประกอบอาหารหลากหลาย
    • ฝักอ่อนนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น แกงเลียง ผัด ต้มจิ้มน้ำพริก ชุบแป้งทอด หรือใส่ในสลัด
  5. ใช้ในอุตสาหกรรม
    • เมือกของกระเจี๊ยบสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น เป็นสารเพิ่มความหนืด
  6. ประโยชน์ทางยาพื้นบ้าน
    • ในบางวัฒนธรรมมีการใช้กระเจี๊ยบเพื่อบรรเทาอาการท้องผูก และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เพื่อจุดประสงค์ทางยา)

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมดิน
    • เลือกพื้นที่ปลูกที่มีแสงแดดส่องถึง ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี
    • ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร และกำจัดวัชพืชออกให้หมด
    • ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดินเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
  2. การเพาะเมล็ด
    • แช่เมล็ดในน้ำอุ่นประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
    • หยอดเมล็ดลงในหลุมที่เตรียมไว้ ลึกประมาณ 1-2 เซนติเมตร หลุมละ 2-3 เมล็ด
    • ระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 30-50 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 50-80 เซนติเมตร
    • กลบดินบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม
  3. การดูแลรักษา
    • การให้น้ำ รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และในช่วงออกดอกติดฝัก ควรรักษาความชื้นในดินให้สม่ำเสมอ แต่ไม่แฉะจนเกินไป
    • การใส่ปุ๋ย เมื่อต้นกล้าอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) เล็กน้อยเพื่อบำรุงต้น จากนั้นเมื่อเริ่มออกดอกและติดฝัก ให้ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) หรือปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูง เพื่อช่วยในการพัฒนาฝัก
    • การกำจัดวัชพืช ควรกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้แย่งอาหารและแสงแดด
    • การพรวนดินและกำจัดโคนเน่า พรวนดินรอบโคนต้นเบาๆ เพื่อให้ดินร่วนซุย และระบายอากาศได้ดี ระวังอย่าให้ดินบริเวณโคนต้นแฉะเกินไปเพื่อป้องกันโรคโคนเน่า
    • การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช หมั่นตรวจดูแมลงและโรค หากพบให้รีบกำจัดด้วยวิธีธรรมชาติ หรือใช้สารเคมีหากจำเป็น (เช่น เพลี้ย หนอนเจาะฝัก)
  4. การเก็บเกี่ยว
    • กระเจี๊ยบมอญจะเริ่มให้ผลผลิตหลังจากปลูกประมาณ 2-3 เดือน
    • เก็บเกี่ยวฝักอ่อนที่มีขนาดพอเหมาะ ความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร หรือตามความต้องการ
    • ควรเก็บเกี่ยวฝักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้ต้นผลิตฝักใหม่