เมล็ดพันธุ์ ฝรั่งขี้นกไส้ชมพู

30 ฿

  • จำนวน 50 เมล็ด
  • วิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระในฝรั่งช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสและชะลอการเกิดริ้วรอย
  • ด้วยไฟเบอร์สูงที่มีในฝรั่ง ทำให้ช่วยในการย่อยอาหารและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
  • ฝรั่งขี้นกไส้ชมพูมีวิตามิน C สูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • การทานฝรั่งขี้นกไส้ชมพูสามารถช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากมีแคลอรี่ต่ำและมีไฟเบอร์สูงที่ช่วยให้อิ่มนาน

เมล็ดพันธุ์ ฝรั่งขี้นกไส้ชมพู 50 เมล็ด

ฝรั่งขี้นกไส้ชมพู (ชื่อวิทยาศาสตร์: Psidium guajava) เป็นพันธุ์ของฝรั่งที่มีลักษณะเฉพาะและเป็นที่นิยมในบางพื้นที่ เนื่องจากรสชาติและลักษณะที่น่าสนใจ ฝรั่งขี้นกไส้ชมพู (หรือเรียกว่า ฝรั่งชมพู) เป็นพันธุ์ฝรั่งชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเด่นในเรื่องของเนื้อในที่มีสีชมพูและรสชาติหวานอร่อย โดยมักจะมีขนาดกลางถึงเล็ก เปลือกของมันบางและมีรสหวานกรอบ มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อในบางพื้นที่ เช่น ฝรั่งไส้ชมพู

คุณสมบัติ

  • ลักษณะภายนอก เปลือกฝรั่งขี้นกไส้ชมพูมักมีสีเขียวเมื่อยังไม่สุก และเมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีชมพูอ่อน ขึ้นอยู่กับพันธุ์

  • เนื้อใน เนื้อฝรั่งจะมีสีชมพู สวยงาม และมีเนื้อสัมผัสที่กรอบ

  • รสชาติ รสชาติหวานมากกว่าฝรั่งทั่วไป และมีกลิ่นหอม

  • สารอาหาร ฝรั่งขี้นกไส้ชมพูมีวิตามิน C สูง ซึ่งเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และยังมีไฟเบอร์สูงที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร

ประโยชน์ของฝรั่งขี้นกไส้ชมพู

  1. เสริมภูมิคุ้มกัน ฝรั่งขี้นกไส้ชมพูมีวิตามิน C สูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

  2. ดีต่อการย่อยอาหาร ด้วยไฟเบอร์สูงที่มีในฝรั่ง ทำให้ช่วยในการย่อยอาหารและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

  3. บำรุงผิว วิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระในฝรั่งช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสและชะลอการเกิดริ้วรอย

  4. ช่วยลดน้ำหนัก การทานฝรั่งขี้นกไส้ชมพูสามารถช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากมีแคลอรี่ต่ำและมีไฟเบอร์สูงที่ช่วยให้อิ่มนาน

วิธีการปลูก

  1. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ฝรั่งขี้นกไส้ชมพูต้องการแสงแดดจัดและอากาศร้อน ชอบดินที่ระบายน้ำได้ดีและไม่แฉะ

  2. การเตรียมดิน ควรใช้ดินที่ร่วนซุยและมีการผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดิน

  3. การปลูก สามารถปลูกได้ทั้งจากเมล็ดและการตอนกิ่ง แต่หากต้องการให้ต้นโตเร็วและได้ผลผลิตเร็ว ควรปลูกจากการตอนกิ่ง

  4. การดูแล ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงที่ปลูกใหม่และหมั่นกำจัดวัชพืช รวมทั้งใส่ปุ๋ยทุกๆ 2-3 เดือน เพื่อเสริมธาตุอาหาร

  5. การตัดแต่ง ควรตัดแต่งกิ่งให้สะอาดและเปิดพื้นที่ให้ต้นไม้ได้รับแสงแดดเต็มที่