เมล็ดพันธุ์ คื่นช่ายก้านชมพู

30 ฿

  • จำนวน 200 เมล็ด
  • เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำมากและมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้รู้สึกอิ่มโดยไม่เพิ่มแคลอรี่มากเกินไป
  • ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
  • ใยอาหารสูงช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก

เมล็ดพันธุ์ คื่นช่ายก้านชมพู 200 เมล็ด

คื่นช่ายก้านชมพู (ชื่อวิทยาศาสตร์: Apium graveolens L.) เป็นพืชล้มลุกในวงศ์ Apiaceae (เดียวกับผักชี แครอท) เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผักที่มีกลิ่นหอม รสชาติเฉพาะตัว และมีเนื้อสัมผัสที่กรอบ นิยมนำมาประกอบอาหารทั้งแบบสดในสลัด น้ำผักปั่น หรือปรุงสุกในซุป ผัด และอาหารอื่นๆ ส่วนที่นำมาบริโภคหลักคือ ก้านใบ ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่งยาว อวบน้ำ และ ใบ ซึ่งมีกลิ่นหอมเข้มข้นกว่าก้าน

คื่นช่ายมีหลากหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์มีก้านสีเขียวเข้ม บางสายพันธุ์มีสีเขียวอ่อน หรือมีสีชมพูอมแดงเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณสารแอนโทไซยานินที่สะสมในก้าน

คุณสมบัติ

  • น้ำ ประมาณ 95% ของคื่นช่ายเป็นน้ำ ทำให้เป็นผักที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกายได้ดี
  • ใยอาหาร สูงมาก ช่วยในการขับถ่ายและทำให้รู้สึกอิ่ม
  • วิตามิน
    • วิตามินเค สูงมาก มีความสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก
    • วิตามินเอ (ในรูปของเบต้าแคโรทีน) บำรุงสายตาและผิวพรรณ
    • วิตามินซี เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
    • โฟเลต (วิตามินบี 9) สำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
    • แร่ธาตุ
      • โพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิตและรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย
      • แคลเซียม สำคัญต่อกระดูกและฟัน
      • แมกนีเซียม, แมงกานีส, ฟอสฟอรัส มีบทบาทสำคัญในการทำงานของร่างกาย
    • สารต้านอนุมูลอิสระ
      • ฟลาโวนอยด์ เช่น Apigenin และ Luteolin ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ
      • โพลีฟีนอล สารประกอบพืชที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
      • ไฟทาไลด์ (Phthalides) เป็นสารประกอบเฉพาะที่ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของคื่นช่าย และเชื่อว่ามีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต
    • สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย ที่ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีคุณสมบัติทางยา

ประโยชน์ของคื่นช่ายก้านชมพู

  1. ลดความดันโลหิต สารไฟทาไลด์ (Phthalides) และโพแทสเซียมในคื่นช่ายเชื่อว่ามีส่วนช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและลดความดันโลหิต
  2. ลดคอเลสเตอรอล ใยอาหารและสารประกอบบางชนิดในคื่นช่ายอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในเลือด
  3. ต้านการอักเสบ สารฟลาโวนอยด์ Apigenin และ Luteolin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่อาจช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย
  4. เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังและริ้วรอยก่อนวัย
  5. ช่วยในการย่อยอาหาร ใยอาหารสูงช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก และส่งเสริมสุขภาพระบบทางเดินอาหาร
  6. ช่วยในการขับปัสสาวะ (Diuretic effect) คื่นช่ายมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ ซึ่งอาจช่วยลดอาการบวมน้ำ
  7. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลคงที่
  8. ช่วยในการลดน้ำหนัก เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำมากและมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้รู้สึกอิ่มโดยไม่เพิ่มแคลอรี่มากเกินไป
  9. บำรุงกระดูก วิตามินเคมีบทบาทสำคัญในการสร้างความแข็งแรงของกระดูก

วิธีการปลูก

การเพาะเมล็ด

  1. เตรียมเมล็ด เมล็ดคื่นช่ายมีขนาดเล็กมาก และงอกช้า ควรเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดี
  2. เตรียมดินเพาะกล้า ใช้ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง (เช่น ดินผสมปุ๋ยหมักละเอียด)
  3. หว่านเมล็ด หว่านเมล็ดลงบนถาดเพาะกล้า หรือกระถางเพาะ ไม่ต้องกลบดินหนามาก หรือโรยดินบางๆ ทับเล็กน้อย (ประมาณ 0.5 ซม.) เพราะเมล็ดต้องการแสงในการงอกบางส่วน
  4. รดน้ำ รดน้ำเบาๆ ด้วยบัวรดน้ำฝอยละเอียดให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ คลุมถาดเพาะด้วยพลาสติกใสเพื่อรักษาความชื้น
  5. การดูแล วางถาดเพาะในที่ร่มรำไรที่อุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส เมล็ดจะงอกภายใน 10-21 วัน (อาจใช้เวลานานกว่าผักอื่นๆ) เมื่อกล้างอกแล้ว ให้ค่อยๆ ลดการคลุมพลาสติกออก
  6. ย้ายกล้า เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ และสูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร (ประมาณ 6-8 สัปดาห์หลังเพาะ) สามารถย้ายลงแปลงปลูกหรือกระถางใหญ่ขึ้นได้

การปลูกจากตอคื่นช่าย (วิธีง่ายสำหรับปลูกในครัวเรือน):

  1. ตัดก้านคื่นช่ายที่บริโภคแล้ว ให้เหลือส่วนโคนที่มีรากและตาใบเล็กๆ ติดอยู่ประมาณ 1-2 นิ้ว
  2. นำโคนคื่นช่ายไปวางในภาชนะตื้นๆ ที่มีน้ำหล่ออยู่เล็กน้อย (ให้ส่วนโคนจุ่มน้ำ แต่ไม่ท่วมตาใบ)
  3. วางภาชนะในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง เมื่อเริ่มมีรากและใบใหม่แตกออกมา สามารถย้ายไปปลูกลงดินหรือกระถางได้

การปลูกและดูแล

  1. สภาพแวดล้อม
    • แสงแดด คื่นช่ายชอบแสงแดดเต็มที่ แต่หากอากาศร้อนจัด ควรมีร่มเงาในช่วงบ่ายเพื่อป้องกันใบไหม้
    • อุณหภูมิ ชอบอากาศเย็นถึงปานกลาง อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 15-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่สูงเกินไปอาจทำให้ก้านเหนียวและมีรสขม
  2. ดิน ดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้ำได้ดี และรักษาความชื้นได้ดี ควรมีค่า pH ประมาณ 6.0-7.0
  3. การเตรียมแปลงปลูก ไถพรวนดินให้ร่วนซุย ลึกประมาณ 20-30 ซม. ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน
  4. ระยะปลูก ปลูกเป็นแถว โดยมีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 20-30 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 30-45 เซนติเมตร
  5. การให้น้ำ คื่นช่ายเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก รดน้ำสม่ำเสมอทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง (เช้า-เย็น) โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแห้งแล้ง หรือในฤดูร้อน ควรให้น้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง
  6. การให้ปุ๋ย
    • หลังย้ายปลูก 1-2 สัปดาห์ หรือเมื่อต้นเริ่มตั้งตัวได้ดี ให้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในปริมาณเล็กน้อย
    • อาจให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเล็กน้อยเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบและก้าน
    • ควรมีการเติมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
  7. การพรวนดินและกำจัดวัชพืช หมั่นพรวนดินรอบโคนต้นอย่างเบามือ เพื่อช่วยให้ดินร่วนซุย และกำจัดวัชพืชออกอย่างสม่ำเสมอ
  8. การป้องกันศัตรูพืชและโรค คื่นช่ายอาจถูกโจมตีโดยหนอนผีเสื้อ เพลี้ย หรือโรคราน้ำค้าง ควรหมั่นสำรวจและใช้สารชีวภัณฑ์ หรือวิธีธรรมชาติในการควบคุมศัตรูพืช

4. การเก็บเกี่ยว

  1. คื่นช่ายจะใช้เวลาประมาณ 80-120 วันหลังเพาะเมล็ด จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการดูแล
  2. สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อก้านใบมีขนาดใหญ่และอวบตามต้องการ โดยการตัดก้านด้านนอกที่โคนต้น เพื่อให้ก้านด้านในเจริญเติบโตต่อไป หรือตัดทั้งต้นเหนือโคนเล็กน้อย