เมล็ดพันธุ์ มะเขือเทศส้ม

30 ฿

  • จำนวน 100 เมล็ด
  • มีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ
  • วิตามินเอและเบต้าแคโรทีนมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกรดในกระเพาะอาหาร
  • อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค โพแทสเซียม และไลโคปีน (แม้ว่าปริมาณไลโคปีนอาจน้อยกว่าในมะเขือเทศแดง แต่ก็ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น เบต้าแคโรทีน)

เมล็ดพันธุ์ มะเขือเทศส้ม 100 เมล็ด

มะเขือเทศส้ม (ชื่อวิทยาศาสตร์: Solanum lycopersicum) มีลักษณะเด่นคือ ผลมีสีส้มสดใส เมื่อสุกเต็มที่ รูปร่างและขนาดของผลอาจแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ มีทั้งที่เป็นทรงกลม ทรงรี หรือรูปไข่ ขนาดอาจเล็กเหมือนมะเขือเทศเชอร์รี หรือใหญ่เหมือนมะเขือเทศทั่วไป รสชาติโดยทั่วไปจะมีความหวานมากกว่ามะเขือเทศแดง และมีความเป็นกรดต่ำ

คุณสมบัติ

  • ลักษณะผล
    • มีหลากหลายรูปทรงและขนาด ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ (กลม รี ไข่ เล็ก ใหญ่)
  • สีของผล
    • เมื่อสุกจะมีสีส้มสดใส
  • รสชาติ
    • หวานกว่ามะเขือเทศแดง มีความเป็นกรดต่ำ
  • เนื้อสัมผัส
    • เนื้อแน่น ฉ่ำน้ำ
  • ต้น
    • เป็นไม้ล้มลุก อายุประมาณ 1 ปี มีทั้งชนิดเลื้อยและไม่เลื้อย ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
  • การเจริญเติบโต
    • เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่น ต้องการแสงแดดจัด และดินร่วนระบายน้ำได้ดี
  • ความหลากหลาย
    • มีหลายสายพันธุ์ย่อยที่มีขนาด รูปร่าง และเฉดสีส้มแตกต่างกันไป

ประโยชน์ของมะเขือเทศส้ม

  1. แหล่งวิตามินและแร่ธาตุ
    • อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค โพแทสเซียม และไลโคปีน (แม้ว่าปริมาณไลโคปีนอาจน้อยกว่าในมะเขือเทศแดง แต่ก็ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น เบต้าแคโรทีน)
  2. สารต้านอนุมูลอิสระ
    • มีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ
  3. ความเป็นกรดต่ำ
    • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกรดในกระเพาะอาหาร
  4. ช่วยบำรุงสายตา
    • วิตามินเอและเบต้าแคโรทีนมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา
  5. ส่งเสริมระบบย่อยอาหาร
    • มีใยอาหารช่วยในการขับถ่าย
  6. บำรุงผิวพรรณ
    • วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ผิวพรรณสดใส
  7. มีแคลอรี่ต่ำ
    • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
  8. ใช้ประกอบอาหารได้หลากหลาย
    • สามารถรับประทานสด ทำสลัด ซุป ซอส หรือนำไปผัดและอบ ให้สีสันสวยงามแก่อาหาร

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมเมล็ด
    • สามารถใช้เมล็ดพันธุ์มะเขือเทศส้มที่ซื้อมา
  2. การเพาะกล้า
    • เพาะเมล็ดในวัสดุเพาะ เช่น ดินเพาะกล้าสำเร็จรูป หรือพีทมอส
    • กลบเมล็ดบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม และวางในที่ร่มรำไรที่มีอากาศถ่ายเท
    • เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 คู่ และลำต้นแข็งแรง สูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร สามารถย้ายลงกระถางเพาะชำก่อน หรือย้ายลงแปลงปลูกโดยตรง
  3. การเตรียมดินและแปลงปลูก
    • เลือกพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
    • ดินควรเป็นดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง pH ประมาณ 6.0-6.8
    • ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร และใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
    • หากปลูกในกระถาง ควรเลือกกระถางที่มีขนาดเหมาะสม (อย่างน้อย 30 เซนติเมตรสำหรับพันธุ์ทั่วไป)
  4. การย้ายกล้า
    • ขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่กว่าตุ้มดินของต้นกล้าเล็กน้อย
    • นำต้นกล้าลงปลูก กลบดินให้มิดโคนต้น กดดินเบาๆ และรดน้ำให้ชุ่ม
    • เว้นระยะห่างระหว่างต้นและแถวตามคำแนะนำของแต่ละสายพันธุ์ (โดยทั่วไป 60-90 ซม. ระหว่างต้น และ 80-120 ซม. ระหว่างแถว)
  5. การดูแลรักษา
    • การให้น้ำ รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นยังเล็ก ช่วงออกดอก และติดผล ควรรดน้ำในช่วงเช้าหรือเย็น หลีกเลี่ยงการรดน้ำโดนใบโดยตรงเพื่อลดความเสี่ยงของโรค
    • การใส่ปุ๋ย ให้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบถ้วนตามช่วงการเจริญเติบโต เช่น ปุ๋ยสูตรเสมอในช่วงแรก และเน้นปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูงในช่วงติดผล อาจให้ปุ๋ยน้ำสัปดาห์ละครั้ง
    • การทำค้าง มะเขือเทศส้มส่วนใหญ่เป็นชนิดเลื้อย ควรทำค้างหรือใช้หลักเพื่อพยุงลำต้นและผล
    • การเด็ดหน่อข้าง เด็ดหน่อข้างที่แตกออกมาจากซอกใบ เพื่อให้ต้นหลักเจริญเติบโตได้ดีและมีผลผลิตดี
    • การกำจัดวัชพืช หมั่นกำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นมะเขือเทศ
    • การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชและโรค มะเขือเทศอาจถูกรบกวนโดยแมลงและโรคต่างๆ ควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและจัดการด้วยวิธีที่เหมาะสม
  6. การเก็บเกี่ยว
    • มะเขือเทศส้มสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อผลมีสีส้มสดใสและเริ่มนิ่มเล็กน้อย โดยสามารถทยอยเก็บเกี่ยวได้เรื่อยๆ เมื่อผลสุก