ฟักทองญี่ปุ่นผิวส้ม 5 เมล็ด
ฟักทองญี่ปุ่นผิวส้ม (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cucurbita moschata Duchesne) ฟักทองญี่ปุ่นผิวส้มเป็นฟักทองในตระกูลสควอช (Squash) เช่นเดียวกับฟักทองญี่ปุ่นผิวเขียว มีลักษณะเด่นคือเปลือกผลมีสีส้มสดใส อาจมีลักษณะผิวเรียบหรือมีร่องเล็กน้อย เนื้อในมีสีส้มเข้ม เนื้อแน่น เนียนละเอียด และมีรสชาติหวานมัน มักมีขนาดเล็กกว่าฟักทองไทยทั่วไป ทำให้เหมาะกับการบริโภคในครัวเรือน นิยมนำมาทำอาหารได้หลากหลายทั้งคาวและหวาน
คุณสมบัติ
- ลักษณะผล ผลทรงกลมค่อนข้างแบน หรืออาจมีทรงหยดน้ำเล็กน้อย เปลือกมีสีส้มสดใส ผิวเรียบหรือมีร่องตื้น
- เนื้อ เนื้อสีส้มเข้ม เนื้อแน่น ละเอียด เนียน ให้รสชาติหวานมัน
- ขนาด ขนาดผลค่อนข้างเล็กถึงปานกลาง น้ำหนักเฉลี่ย 0.8-1.2 กิโลกรัม เหมาะสำหรับ 1-2 มื้อ
- การปลูก ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่น ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี
ประโยชน์ของฟักทองญี่ปุ่นผิวส้ม
- เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) สูงมากในเนื้อสีส้ม ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม และยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส เปล่งปลั่ง ลดริ้วรอย ชะลอความแก่ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งหลายชนิด และโรคหัวใจและหลอดเลือด
- วิตามินและแร่ธาตุ
- วิตามินเอ จำเป็นต่อการมองเห็น การเจริญเติบโตของเซลล์ และระบบภูมิคุ้มกัน
- วิตามินซี เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด บำรุงผิวพรรณ และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
- วิตามินบีต่างๆ (B1, B2, B3, B5, B6, B9) ช่วยในการทำงานของระบบประสาท การเผาผลาญพลังงาน และการสร้างเม็ดเลือด
- โพแทสเซียม ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกายและความดันโลหิต
- ธาตุเหล็ก ป้องกันภาวะโลหิตจาง
- แมกนีเซียม, ฟอสฟอรัส, แคลเซียม แร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการทำงานของร่างกายหลายส่วน รวมถึงบำรุงกระดูกและฟัน
- ใยอาหาร (Dietary Fiber) สูง ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดคอเลสเตอรอล
- ไขมันต่ำและแคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือรับประทานเพื่อสุขภาพ
- สารคิวเคอร์บิตาซิน (Cucurbitacins) มีรายงานการศึกษาเบื้องต้นว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและอาจมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง
- ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ การบริโภคฟักทองหลังออกกำลังกายช่วยฟื้นฟูร่างกายและกล้ามเนื้อได้
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด มีกากใยสูงและดัชนีน้ำตาลไม่สูงมากนัก ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นเร็วเกินไป เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน (แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม)
วิธีการปลูก
- การเตรียมดิน
- ชอบดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบดินเหนียวหรือดินที่น้ำขัง
- ควรปรับปรุงดินโดยการผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเก่าเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และช่วยการระบายน้ำ
- การเพาะเมล็ด
- สามารถหว่านเมล็ดโดยตรงลงในแปลงปลูก หรือเพาะกล้าก่อนแล้วค่อยย้ายปลูก
- การหว่านโดยตรง หว่านเมล็ดลงบนดินที่เตรียมไว้แล้วกลบดินบางๆ ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร รดน้ำเบาๆ ให้ชุ่มชื้น
- การเพาะกล้า เพาะเมล็ดในถาดเพาะหรือกระถางเล็กๆ ใช้ดินเพาะกล้า รดน้ำให้ชุ่มชื้น วางในที่ร่มรำไร เมล็ดจะงอกภายใน 5-10 วัน
- การย้ายกล้าปลูก (สำหรับกรณีเพาะกล้า)
- เมื่อต้นกล้าแข็งแรง มีใบจริง 2-3 คู่ หรือสูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร ก็พร้อมย้ายลงแปลงปลูก
- ควรย้ายในช่วงเย็นหรือช่วงที่อากาศไม่ร้อนจัด
- เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 30-50 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับขนาดของพันธุ์ที่ปลูก เพื่อให้แต่ละต้นมีพื้นที่ในการเจริญเติบโต
- แสงแดด
- ดาวกระจายไทยเหลืองเป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัดมาก ควรปลูกในบริเวณที่ได้รับแสงแดดเต็มที่อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ยิ่งได้รับแสงแดดมาก ดอกจะยิ่งดกและสีสดใส
- การรดน้ำ
- รดน้ำสม่ำเสมอในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และเมื่อดินแห้ง
- เมื่อต้นโตเต็มที่แล้ว ค่อนข้างทนแล้ง ไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย แต่การรดน้ำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ต้นแข็งแรงและออกดอกได้ดี
- ระวังอย่าให้น้ำขังแฉะ เพราะจะทำให้รากเน่าได้
- การใส่ปุ๋ย
- ไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก หากดินอุดมสมบูรณ์ดี
- อาจให้ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในปริมาณน้อย หรือปุ๋ยอินทรีย์บ้างเมื่อต้นเริ่มตั้งตัวและก่อนออกดอก เพื่อกระตุ้นการออกดอก
- การดูแลรักษาทั่วไป
- การเด็ดยอด/ตัดแต่ง หากต้องการให้ต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มสวยงามและออกดอกดก อาจเด็ดยอดเมื่อต้นยังเล็ก
- การกำจัดวัชพืช หมั่นกำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นเพื่อไม่ให้แย่งอาหาร
- โรคและแมลง โดยทั่วไปดาวกระจายไทยเหลืองค่อนข้างทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช