เมล็ดพันธุ์ ผักกาดหอมอิตาลี

30 ฿

  • จำนวน 200 เมล็ด
  • โพแทสเซียม ช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายและควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ
  • โฟเลต (วิตามินบี 9) สำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ การแบ่งเซลล์ และการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะในสตรีมีครรภ์
  • แคลอรี่และไขมันต่ำมาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ

50 in stock

ผักกาดหอมอิตาลี 200 เมล็ด

ผักกาดหอมอิตาลี (ชื่อวิทยาศาสตร์: Lactuca sativa L.) ผักกาดหอมอิตาลี โดยทั่วไปหมายถึงกลุ่มของผักกาดหอมหลากหลายสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในการปลูกและบริโภคในประเทศอิตาลี ซึ่งมักมีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากผักกาดหอมหัวแน่นแบบทั่วไป (เช่น ผักกาดแก้ว) โดยส่วนใหญ่จะเป็นผักกาดหอมชนิดใบหยิกฟู (Looseleaf Lettuce) หรือผักกาดหอมใบยาวแข็ง (Romaine/Cos Lettuce) ซึ่งไม่ได้รวมตัวเป็นหัวแน่น แต่จะมีใบเดี่ยวๆ แตกออกจากโคนต้น มีความกรอบ รสชาติอ่อนนุ่ม หรือมีรสขมเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพการปลูก ใบของผักกาดหอมอิตาลีมักมีสีเขียวสด อาจมีสีเขียวอมแดง หรือม่วงแดงในบางพันธุ์ นิยมนำมารับประทานสดในสลัด แซนด์วิช หรือใช้ตกแต่งจานอาหาร

คุณสมบัติ

  • ลักษณะใบ ใบมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ใบหยิกฟูเป็นพุ่มสวยงาม (เช่น Lollo Rossa, Lollo Bionda) ไปจนถึงใบยาวรี เส้นกลางใบแข็ง (เช่น Romaine/Cos Lettuce)
  • สีใบ มีตั้งแต่สีเขียวอ่อน เขียวสด ไปจนถึงเขียวอมแดง ม่วงแดง หรือแดงเข้ม ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
  • เนื้อสัมผัส โดยทั่วไปมีความกรอบนุ่ม หรือกรอบแน่นในบางสายพันธุ์ (เช่น Romaine)
  • รสชาติ มีรสชาติอ่อนนุ่ม สดชื่น บางพันธุ์อาจมีรสขมเล็กน้อย
  • การเจริญเติบโต ไม่รวมตัวเป็นหัวแน่น ทำให้ง่ายต่อการปลูกและเก็บเกี่ยวใบทีละน้อย
  • อายุเก็บเกี่ยว ค่อนข้างสั้น ประมาณ 45-60 วันหลังย้ายกล้า
  • สภาพแวดล้อมที่ชอบ ชอบอากาศเย็นถึงปานกลาง (ประมาณ 15-25 องศาเซลเซียส) ชอบดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดี และต้องการแสงแดดเต็มที่ถึงแสงรำไร

ประโยชน์ของผักกาดหอมอิตาลี

  1. วิตามินเคสูง มีบทบาทสำคัญในการแข็งตัวของเลือดและส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง
  2. วิตามินเอ (ในรูปเบต้าแคโรทีน) โดยเฉพาะพันธุ์ที่มีสีเขียวเข้มหรือแดงอมม่วง จะมีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  3. วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงผิวพรรณ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
  4. โฟเลต (วิตามินบี 9) สำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ การแบ่งเซลล์ และการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะในสตรีมีครรภ์
  5. ใยอาหาร มีใยอาหารช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และช่วยรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร
  6. โพแทสเซียม ช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายและควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ
  7. สารต้านอนุมูลอิสระ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น ฟลาโวนอยด์และสารประกอบฟีนอลิก ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
  8. แคลอรี่และไขมันต่ำมาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ

วิธีการปลูก

1. การเตรียมเมล็ดและวัสดุปลูก

  • เมล็ดพันธุ์ เลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ผักกาดหอมอิตาลีสายพันธุ์ที่ต้องการจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ
  • วัสดุเพาะเมล็ด ใช้พีทมอส (Peat moss) หรือวัสดุเพาะเมล็ดที่มีเนื้อละเอียด โปร่ง ระบายน้ำได้ดี และปราศจากเชื้อโรค
  • ถาดเพาะกล้า/กระถางเพาะ เตรียมถาดเพาะกล้าที่มีช่องระบายน้ำ หรือกระถางขนาดเล็กสำหรับเพาะเมล็ด
  • กระถาง/แปลงปลูกจริง เลือกกระถางที่มีขนาดเหมาะสม (เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 ซม. ขึ้นไป สำหรับปลูก 1-2 ต้น) หรือเตรียมแปลงปลูกที่มีดินร่วนซุย อุดมสมบูรณ์

2. การเพาะเมล็ด

  • แช่เมล็ด (Optional) เมล็ดผักกาดหอมบางพันธุ์อาจได้ประโยชน์จากการแช่น้ำอุ่นประมาณ 1-2 ชั่วโมงก่อนเพาะ
  • หว่านเมล็ด หว่านเมล็ดลงบนผิวหน้าวัสดุเพาะ กดเมล็ดลงไปเล็กน้อย (ไม่เกิน 0.5 ซม.) แล้วกลบด้วยวัสดุเพาะบางๆ ผักกาดหอมบางพันธุ์ต้องการแสงเพื่อการงอก จึงไม่ควรกกลบเมล็ดหนาเกินไป
  • รดน้ำ พ่นละอองน้ำเบาๆ ให้วัสดุเพาะชุ่มชื้น คลุมด้วยพลาสติกใสหรือฝาครอบเพื่อรักษาความชื้นและอุณหภูมิ
  • อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการงอกคือประมาณ 18-22 องศาเซลเซียส การงอกมักใช้เวลา 3-7 วัน

3. การดูแลต้นกล้า

  • แสงสว่าง เมื่อเมล็ดงอก ควรให้แสงสว่างเพียงพอ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดโดยตรงในช่วงแรก
  • การรดน้ำ รดน้ำอย่างระมัดระวังด้วยสเปรย์ฝอยละเอียด เพื่อไม่ให้ต้นกล้าล้ม
  • การย้ายกล้า เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 คู่ และแข็งแรงพอ (สูงประมาณ 5-10 ซม.) จึงค่อยย้ายไปปลูกลงกระถางเดี่ยวหรือแปลงปลูกถาวร

4. การเตรียมดินและการปลูกจริง

  • ดินปลูก ดินควรเป็นดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง ค่า pH ที่เหมาะสมคือ 6.0-7.0 (เป็นกลาง) ควรปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว
  • การย้ายปลูก
    • ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดเท่ากับรากของต้นกล้า
    • ปลูกโดยให้ระดับดินเท่ากับระดับเดิมที่ต้นกล้าเคยอยู่ ระวังอย่าฝังส่วนยอดของต้นลงไปในดิน
    • เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 20-30 เซนติเมตร (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์)
    • รดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังย้ายปลูก

5. การดูแลรักษา

  • แสงแดด ผักกาดหอมอิตาลีชอบแสงแดดเต็มที่ถึงแสงรำไร หากอากาศร้อนจัด อาจให้แสงรำไรในช่วงบ่ายเพื่อป้องกันใบไหม้และลดความขม
  • การรดน้ำ รดน้ำให้สม่ำเสมอและเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแห้งแล้ง ดินควรชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่แฉะ การขาดน้ำอาจทำให้ใบมีรสขมและเนื้อสัมผัสกระด้าง
  • การให้ปุ๋ย
    • สามารถบำรุงด้วยปุ๋ยอินทรีย์น้ำ หรือปุ๋ยเคมีที่มีไนโตรเจนสูงเล็กน้อย (เช่น สูตร 15-15-15 หรือ 21-0-0) ในปริมาณน้อยๆ ทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบ
  • ศัตรูพืชและโรค คอยสำรวจและป้องกันศัตรูพืช เช่น เพลี้ย หนอน และโรคเชื้อรา โดยใช้วิธีธรรมชาติหรือสารชีวภัณฑ์ที่ปลอดภัย

6. การเก็บเกี่ยว

ผักกาดหอมอิตาลีส่วนใหญ่สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 45-60 วันหลังย้ายกล้า หรือเมื่อใบโตเต็มที่ตามต้องการ

  • วิธีเก็บเกี่ยว
    • เก็บทั้งต้น ตัดโคนต้นที่ระดับผิวดิน
    • เก็บเป็นใบ ค่อยๆ เด็ดใบนอกที่โตเต็มที่ออกไปใช้ทีละใบ เพื่อให้ใบน้อยได้เจริญเติบโตต่อไป ซึ่งจะช่วยยืดอายุการเก็บเกี่ยวได้