เมล็ดพันธุ์ กระเจี๊ยบญี่ปุ่น 50 เมล็ด
กระเจี๊ยบญี่ปุ่น (ชื่อวิทยาศาสตร์: Abelmoschus esculentus (L.) Moench) หรือก็คือ กระเจี๊ยบมอญ แต่เนื่องจากมีสายพันธุ์ที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีลักษณะที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น เช่น ฝักมีขนาดเล็กเรียว สีเขียวสดใส เนื้อสัมผัสดี ทำให้ถูกเรียกว่า “กระเจี๊ยบญี่ปุ่น” หรือบางครั้งก็เรียกว่า “โอคุระ” (Okra) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้กันทั่วไปในภาษาญี่ปุ่นและสากล
คุณสมบัติ
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นมีขนปกคลุม ใบมีลักษณะเป็นแฉก 3-7 แฉก ดอกมีสีเหลืองหรือสีขาวนวล ตรงกลางดอกมีสีม่วงแดง ฝักมีลักษณะยาวเรียว มีสันตามยาว โดยทั่วไปจะมีสีเขียวสดใส และมีขนาดเล็กกว่ากระเจี๊ยบมอญบางสายพันธุ์
- รสชาติและเนื้อสัมผัส
- ฝักอ่อนมีรสชาติจืด มีเมือกเล็กน้อย เมื่อนำไปปรุงสุกจะมีความนุ่มหนึบ ไม่เหนียวหรือแข็งกระด้าง
- สารอาหาร
- อุดมไปด้วยวิตามิน (เช่น วิตามินซี วิตามินเค วิตามินเอ) แร่ธาตุ (เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม) ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ
- ความโดดเด่น
- มีลักษณะฝักที่สวยงาม ขนาดเล็กสม่ำเสมอ เนื้อสัมผัสดี และมีเมือกน้อยกว่ากระเจี๊ยบมอญบางพันธุ์ ทำให้เป็นที่นิยมในการบริโภคสด หรือนำไปปรุงอาหารที่ไม่ต้องการความเหนียวมากนัก
- การปรับตัว
- เช่นเดียวกับกระเจี๊ยบมอญทั่วไป เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี และแสงแดดจัด
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบญี่ปุ่น
- คุณค่าทางโภชนาการสูง
- เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
- สารต้านอนุมูลอิสระ
- สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย
- ช่วยในการย่อยอาหาร
- เมือกในกระเจี๊ยบช่วยเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ ลดการระคายเคือง และช่วยในการขับถ่าย
- ใช้ประกอบอาหารหลากหลาย
- สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งแบบญี่ปุ่น เช่น เทมปุระ โอฮิตาชิ (ลวกแล้วราดซอส) หรือนำไปผัด แกง ต้ม หรือรับประทานสดในสลัด
- ความสวยงาม
- รูปทรงและสีสันที่สวยงามของฝัก ทำให้เป็นที่นิยมในการตกแต่งจานอาหาร
- ประโยชน์ทางยาพื้นบ้าน
- เช่นเดียวกับกระเจี๊ยบมอญ มีการใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องผูก และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เพื่อจุดประสงค์ทางยา)
วิธีการปลูก
- การเตรียมดิน
- เลือกพื้นที่ปลูกที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี
- ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร และกำจัดวัชพืชออกให้หมด
- ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดินเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
- การเพาะเมล็ด
- แช่เมล็ดในน้ำอุ่นประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
- หยอดเมล็ดลงในหลุมที่เตรียมไว้ ลึกประมาณ 1-2 เซนติเมตร หลุมละ 2-3 เมล็ด
- ระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 30-50 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 50-80 เซนติเมตร
- กลบดินบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม
- การดูแลรักษา
- การให้น้ำ รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และในช่วงออกดอกติดฝัก ควรรักษาความชื้นในดินให้สม่ำเสมอ แต่ไม่แฉะจนเกินไป
- การใส่ปุ๋ย เมื่อต้นกล้าอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) เล็กน้อยเพื่อบำรุงต้น จากนั้นเมื่อเริ่มออกดอกและติดฝัก ให้ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) หรือปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูง เพื่อช่วยในการพัฒนาฝัก
- การกำจัดวัชพืช ควรกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้แย่งอาหารและแสงแดด
- การพรวนดินและกำจัดโคนเน่า พรวนดินรอบโคนต้นเบาๆ เพื่อให้ดินร่วนซุย และระบายอากาศได้ดี ระวังอย่าให้ดินบริเวณโคนต้นแฉะเกินไปเพื่อป้องกันโรคโคนเน่า
- การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช หมั่นตรวจดูแมลงและโรค หากพบให้รีบกำจัดด้วยวิธีธรรมชาติ หรือใช้สารเคมีหากจำเป็น (เช่น เพลี้ย หนอนเจาะฝัก)
- การเก็บเกี่ยว
- กระเจี๊ยบญี่ปุ่นจะเริ่มให้ผลผลิตหลังจากปลูกประมาณ 2-3 เดือน
- เก็บเกี่ยวฝักอ่อนที่มีขนาดเล็กเรียวตามลักษณะของสายพันธุ์ ความยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร หรือตามความต้องการ ควรเก็บเกี่ยวเมื่อฝักยังอ่อนและไม่แก่จนเกินไป
- ควรเก็บเกี่ยวฝักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้ต้นผลิตฝักใหม่