เมล็ดพันธุ์ มะเขือเทศอินเดีย 50 เมล็ด
มะเขือเทศอินเดีย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Lycopersicon esculentum) เป็นพันธุ์มะเขือเทศที่นิยมปลูกและบริโภคในประเทศอินเดีย มีลักษณะ ลูกกลม สีแดงเข้ม เปลือกแข็งเล็กน้อย เนื้อแน่น รสเปรี้ยวจัด จึงเหมาะมากสำหรับการปรุงอาหารมากกว่าการรับประทานสด เช่น ทำซอส แกง มะเขือเทศบด หรือ “ชัทนีย์” (น้ำจิ้มอินเดีย)
ในไทย บางครั้งพบขายในตลาดอินเดียหรือร้านนำเข้า โดยทั่วไปจะต่างจากมะเขือเทศพันธุ์ไทยตรงที่ สีเข้มกว่า เปลือกหนากว่า และมีรสชาติเข้มข้น
คุณสมบัติ
-
มี วิตามินซี สูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
-
อุดมไปด้วย ไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
-
มีกรดธรรมชาติ เช่น กรดซิตริก และ กรดมาลิก ซึ่งให้รสเปรี้ยว
-
มี วิตามิน A, K, B6, โพแทสเซียม และไฟเบอร์
ประโยชน์ของมะเขือเทศอินเดีย
ด้านสุขภาพ:
-
ช่วยชะลอวัย และป้องกันมะเร็ง ด้วยสารไลโคปีน
-
ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
-
ปรับสมดุลระบบขับถ่าย เพราะมีไฟเบอร์สูง
-
ลดคอเลสเตอรอล และบำรุงหัวใจ
-
เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ด้วยวิตามินซี
ทางอาหาร:
-
นิยมใช้ใน แกงอินเดีย (เช่น แกงมาซาล่า, แกงถั่ว)
-
ใช้ทำ ซอสมะเขือเทศเข้มข้น หรือ น้ำพริกบด (chutney)
-
เมื่อนำไปผัดหรือเคี่ยวจะมีรสชาติเด่น และกลิ่นหอมเฉพาะ
วิธีการปลูก
มะเขือเทศอินเดียปลูกได้คล้ายกับพันธุ์ไทย แต่ควรเน้นดินระบายน้ำดี และแดดจัด
ขั้นตอน:
-
เพาะเมล็ด:
-
แช่เมล็ดในน้ำอุ่น 6–8 ชั่วโมง
-
เพาะในถาดเพาะหรือกระถางเล็ก ประมาณ 7–10 วันจะเริ่มงอก
-
-
ย้ายปลูก:
-
ย้ายลงกระถางใหญ่หรือแปลงปลูกเมื่อมีใบจริง 3–4 ใบ
-
ระยะห่างระหว่างต้น 40–50 ซม.
-
-
ดิน:
-
ใช้ดินร่วนปนทราย ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก
-
ควรมีการระบายน้ำดี เพราะมะเขือเทศไม่ชอบน้ำขัง
-
-
แสงแดด:
-
ต้องการแสงแดดเต็มวัน วันละ 6–8 ชั่วโมง
-
-
การดูแล:
-
รดน้ำวันละ 1–2 ครั้ง
-
ให้ปุ๋ยอินทรีย์ทุก 1–2 สัปดาห์
-
ควรทำค้างหรือไม้พยุงให้ต้นไม่หัก
-
ระวังโรคใบไหม้ เพลี้ย และหนอนเจาะผล
-
-
เก็บเกี่ยว:
-
เริ่มเก็บได้เมื่ออายุประมาณ 60–80 วัน
-
เลือกเก็บเมื่อผลมีสีแดงเข้มและแข็งแน่น
-