เมล็ดพันธุ์ กะหล่ำปลี 200 เมล็ด
กะหล่ำปลี (ชื่อวิทยาศาสตร์: Brassica oleracea var. capitata) เป็นพืชผักใบเขียวอยู่ในวงศ์เดียวกับบรอกโคลี คะน้า และผักกาดแก้ว มีลักษณะเป็นหัวกลมแน่น ประกอบด้วยใบซ้อนกันหลายชั้น มีหลากหลายสายพันธุ์ซึ่งมีสีสันและรูปร่างแตกต่างกันไป เช่น สีเขียว สีม่วง และสีขาวอมเหลือง กะหล่ำปลีเป็นผักที่นิยมบริโภคทั่วโลก สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งแบบสดและแบบปรุงสุก
คุณสมบัติ
- อุดมไปด้วยวิตามิน เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี วิตามินเค และวิตามินบี 6 ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน การแข็งตัวของเลือด และการทำงานของระบบประสาท
- มีแร่ธาตุ ประกอบด้วยแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม และแมงกานีส
- มีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และส่งเสริมสุขภาพของระบบทางเดินอาหาร
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ กะหล่ำปลีมีสารประกอบฟีนอลและสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
- มีสารประกอบซัลเฟอร์ สารประกอบเหล่านี้อาจมีบทบาทในการป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด
ประโยชน์ของกะหล่ำปลี
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินซีในกะหล่ำปลีช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน
- ช่วยในการแข็งตัวของเลือด วิตามินเคมีความสำคัญต่อกระบวนการแข็งตัวของเลือดและช่วยรักษาสุขภาพกระดูก
- บำรุงระบบประสาท วิตามินบี 6 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทและการสร้างสารสื่อประสาท
- ส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร ใยอาหารในกะหล่ำปลีช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
- อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง สารประกอบซัลเฟอร์ในกะหล่ำปลีได้รับการศึกษาว่าอาจมีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่
- ช่วยในการลดน้ำหนัก กะหล่ำปลีมีแคลอรี่ต่ำและมีใยอาหารสูง ทำให้รู้สึกอิ่มนาน
วิธีการปลูก
-
การเตรียมดิน
- เลือกพื้นที่ปลูกที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
- ดินควรเป็นดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์
- ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร และกำจัดวัชพืชออกให้หมด
- ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตราที่เหมาะสม
- ปรับค่า pH ของดินให้อยู่ระหว่าง 6.0-7.0
-
การเพาะกล้า
- สามารถเพาะกล้าในกระบะเพาะหรือแปลงเพาะ
- หว่านเมล็ดให้มีระยะห่างพอสมควร กลบดินบางๆ และรดน้ำให้ชุ่ม
- ดูแลต้นกล้าให้ได้รับแสงแดดและน้ำอย่างเพียงพอ ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ต้นกล้าจะมีใบจริง 4-6 ใบ พร้อมย้ายปลูก
-
การย้ายปลูก
- ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดใหญ่กว่ารากของต้นกล้าเล็กน้อย
- นำต้นกล้าลงปลูก โดยให้ระดับดินเดิมของต้นกล้าเสมอกับระดับดินในแปลง
- เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 40-60 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 60-80 เซนติเมตร
- กลบดินและรดน้ำให้ชุ่ม
-
การดูแลรักษา
- การให้น้ำ: รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการปลูกและช่วงที่กะหล่ำปลีกำลังสร้างหัว ควรให้น้ำในปริมาณที่เพียงพอแต่ไม่แฉะเกินไป
- การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูงในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และเปลี่ยนเป็นปุ๋ยที่มีธาตุฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงขึ้นในช่วงการสร้างหัว อาจมีการให้ปุ๋ยทางใบเสริมบ้าง
- การพรวนดินและกำจัดวัชพืช: พรวนดินรอบโคนต้นเพื่อเพิ่มอากาศในดินและกำจัดวัชพืชที่แย่งอาหารและน้ำ
- การป้องกันและกำจัดโรคและแมลง: ตรวจสอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบโรคหรือแมลงให้รีบทำการป้องกันและกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การใช้สารชีวภัณฑ์ หรือสารเคมี (หากจำเป็น)
-
การเก็บเกี่ยว
- กะหล่ำปลีจะใช้เวลาประมาณ 2-4 เดือน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพอากาศ
- สังเกตเมื่อหัวกะหล่ำปลีมีขนาดตามต้องการ หัวแน่น และมีน้ำหนัก ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้
- ใช้มีดคมตัดที่โคนต้น