เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเทียนน้ำผึ้ง 50 เมล็ด
ข้าวโพดเทียนน้ำผึ้ง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Zea mays ceratina) ข้าวโพดเทียนน้ำผึ้งคือข้าวโพดข้าวเหนียวสายพันธุ์ลูกผสมชนิดหนึ่ง ที่มีความพิเศษโดดเด่นด้วยเมล็ดที่มีสีเหลืองทองอ่อนๆ คล้ายสีน้ำผึ้ง หรือบางครั้งอาจมีสีเหลืองเข้มคล้ายไข่ไก่ เมื่อสุกแล้วจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสชาติหวานมัน และเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม มีความนุ่มละมุนลิ้น ไม่ติดฟัน ต่างจากข้าวโพดหวานทั่วไปที่กรอบและหวานจัด และต่างจากข้าวโพดข้าวเหนียวพันธุ์อื่น ๆ ตรงที่สีและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์
คุณสมบัติ
- สีสัน เมล็ดมีสีเหลืองทองอ่อนๆ ถึงเหลืองเข้มคล้ายสีน้ำผึ้งหรือไข่ไก่ ทำให้ดูน่ารับประทาน
- เนื้อสัมผัส เหนียวนุ่ม มีความนุ่มละมุนลิ้นเป็นเอกลักษณ์ และไม่ติดฟันเมื่อเคี้ยว
- รสชาติและกลิ่น มีรสชาติหวานมันกำลังดี และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวคล้ายน้ำผึ้ง (เป็นที่มาของชื่อ)
- ขนาดฝัก ขนาดฝักค่อนข้างใหญ่ปานกลาง ประมาณ 15-18 เซนติเมตร
- อายุเก็บเกี่ยว ค่อนข้างสั้น โดยทั่วไปประมาณ 60-65 วันหลังปลูก (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการดูแล)
- จำนวนฝักต่อต้น โดยปกติจะให้ผลผลิต 1-2 ฝักต่อต้น ซึ่งเป็นฝักที่สมบูรณ์
ประโยชน์ของข้าวโพดเทียนน้ำผึ้ง
- เพื่อการบริโภค เป็นข้าวโพดที่นิยมนำมาต้ม นึ่ง หรือปิ้งรับประทานเป็นหลัก ด้วยรสชาติที่อร่อย กลิ่นหอม และเนื้อสัมผัสที่โดดเด่น ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอย่างมาก
- คุณค่าทางโภชนาการ
- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เป็นแหล่งพลังงานที่ดี ให้พลังงานที่ยั่งยืน
- ใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และรักษาสุขภาพของระบบทางเดินอาหาร
- วิตามินและแร่ธาตุ อุดมไปด้วยวิตามินบีต่างๆ (เช่น B1, B3, B5, B6, B9), วิตามินซี, โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, แมกนีเซียม, เหล็ก และสังกะสี
- สารต้านอนุมูลอิสระ แม้จะเป็นข้าวโพดสีเหลือง ก็ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตา
- สร้างรายได้ให้เกษตรกร เป็นพืชเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยม ทำให้เกษตรกรมีทางเลือกในการเพาะปลูกและสร้างรายได้
วิธีการปลูก
- การเลือกเมล็ดพันธุ์ ควรเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเทียนน้ำผึ้งสายพันธุ์แท้หรือสายพันธุ์ลูกผสมที่มีคุณภาพดีจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจในคุณสมบัติของฝัก
- สภาพดินและแสงแดด
- ดิน: ชอบดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง และมีค่า pH อยู่ระหว่าง 6.0-7.0
- แสงแดด: ต้องการแสงแดดจัดเต็มวัน (อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้เต็มที่และสร้างฝักที่มีคุณภาพ
- ช่วงเวลาปลูก
- สามารถปลูกได้ตลอดปีในพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำเพียงพอ
- ควรหลีกเลี่ยงการปลูกในช่วงที่ฝนตกหนักต่อเนื่อง เพราะอาจทำให้ดินแฉะเกินไปและมีผลต่อการงอกของเมล็ด หรือการเจริญเติบโตของราก
- การเตรียมดิน
- ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 25-30 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 7-10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและไข่แมลงในดิน
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และโครงสร้างดิน
- ปรับหน้าดินให้เรียบ และเตรียมร่องปลูกหรือหลุมปลูก
- การหว่านเมล็ด
- ระยะปลูก: หยอดเมล็ดลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร
- ปลูกเป็นกลุ่ม/บล็อก การปลูกข้าวโพดเป็นกลุ่มสี่เหลี่ยมจัตุรัสอย่างน้อย 4×4 ต้น หรือปลูกเป็นแถวหลายๆ แถวใกล้กัน (อย่างน้อย 3-4 แถว) จะช่วยให้การผสมเกสรโดยลมมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้ได้ฝักที่เต็มและสมบูรณ์
- ระยะห่างระหว่างแถว 75-90 เซนติเมตร
- ระยะห่างระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร (โดยทั่วไปหยอด 2-3 เมล็ดต่อหลุม แล้วถอนแยกเหลือ 1 ต้นที่แข็งแรงที่สุดเมื่อต้นโต)
- กลบดินบางๆ และรดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังหยอดเมล็ด
- ระยะปลูก: หยอดเมล็ดลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร
- การดูแลรักษา
- การรดน้ำ ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวโพดเริ่มออกดอกและติดฝัก ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตที่ต้องการน้ำมากที่สุด เพื่อให้ได้ฝักที่สมบูรณ์และมีคุณภาพดี
- การให้ปุ๋ย
- ปุ๋ยรองพื้น อาจใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50-70 กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนปลูกหรือพร้อมปลูก
- ปุ๋ยบำรุง
- ครั้งที่ 1 (เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 15-20 วัน หรือมีใบจริง 4-5 ใบ) ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูง เช่น ยูเรีย (46-0-0) หรือปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
- ครั้งที่ 2 (เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 30-40 วัน หรือช่วงเริ่มออกไหม/ดอก) ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อบำรุงฝักและเมล็ดให้สมบูรณ์
- การกำจัดวัชพืช หมั่นกำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วง 30 วันแรกหลังปลูก เพื่อลดการแข่งขันธาตุอาหารและน้ำ
- การป้องกันกำจัดศัตรูพืชและโรค เฝ้าระวังหนอนเจาะฝักข้าวโพด, หนอนกระทู้ข้าวโพด, เพลี้ยอ่อน และโรคทางใบต่างๆ หากมีการระบาด ควรใช้มาตรการป้องกันกำจัดที่เหมาะสม เช่น การใช้สารชีวภัณฑ์หรือสารเคมีที่ได้รับอนุญาต
- การเก็บเกี่ยว
- เก็บเกี่ยวเมื่อไหมที่ปลายฝักแห้งเป็นสีน้ำตาลหรือดำ และเมล็ดเต่งตึงเต็มฝัก (ประมาณ 18-20 วันหลังออกไหม)
- ทดสอบความสุกโดยการบีบเมล็ด หากมีน้ำนมสีขาวขุ่นไหลออกมาแสดงว่าสุกพอดี
- ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าที่อากาศยังเย็น เพื่อรักษาความสดใหม่และคุณภาพของฝัก
- ข้าวโพดเทียนน้ำผึ้งควรบริโภคหรือแปรรูปโดยเร็วที่สุดหลังเก็บเกี่ยว เพื่อคงรสชาติและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ไว้