เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดอินเดีย 40 เมล็ด
ข้าวโพดอินเดีย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Zea mays) คือข้าวโพดสายพันธุ์หนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการประดับตกแต่งเป็นหลัก โดยมีลักษณะเด่นคือเมล็ดมีสีแดงเข้มไปจนถึงแดงเลือดหมู อาจมีสีอื่นๆ แทรกอยู่บ้างเล็กน้อย แต่สีแดงจะเป็นสีที่เด่นที่สุดบนฝัก ข้าวโพดชนิดนี้มักจะไม่ถูกนำมาบริโภคสดเหมือนข้าวโพดหวาน แต่เหมาะสำหรับการตากแห้งเพื่อการตกแต่ง หรือนำไปทำแป้งข้าวโพดและป๊อปคอร์น (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ย่อย)
คุณสมบัติ
- สีสันเด่นชัด มีเมล็ดสีแดงเข้มไปจนถึงแดงเลือดหมู หรือแดงอมน้ำตาล มักมีสีสันสม่ำเสมอทั้งฝัก หรืออาจมีจุดประสีอื่นแทรกอยู่บ้าง แต่สีแดงจะเป็นโทนหลัก
- เมล็ดแข็ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นข้าวโพดชนิดเมล็ดแข็ง (Flint Corn) ทำให้ไม่เหมาะกับการรับประทานสด
- อายุการเก็บเกี่ยว โดยทั่วไปประมาณ 80-110 วันหลังปลูก ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
- ขนาดฝักและต้น ความสูงต้นและขนาดฝักจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่โดยทั่วไปจะเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่เหมาะสม
ประโยชน์ของข้าวโพดอินเดีย
- เพื่อการประดับตกแต่ง นี่คือประโยชน์หลักและเป็นที่มาของการปลูก Red Indian Corn โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงและเทศกาลต่างๆ เช่น ฮาโลวีน, วันขอบคุณพระเจ้า หรือใช้ประดับในฟาร์มและบ้านเรือน
- ใช้เป็นวัตถุดิบ
- ทำป๊อปคอร์น บางสายพันธุ์ที่มีเมล็ดสีแดง เช่น ‘Strawberry Popcorn’ สามารถนำมาคั่วเป็นป๊อปคอร์นได้
- ทำแป้งข้าวโพด (Cornmeal) เมล็ดข้าวโพดสีแดงบางสายพันธุ์สามารถนำไปบดเป็นแป้งข้าวโพดได้ ซึ่งจะมีสีสันที่สวยงามและมีคุณค่าทางโภชนาการจากสารสีในเมล็ด
- อาหารสัตว์ สามารถนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ได้
- คุณค่าทางโภชนาการ (หากบริโภค) สีแดงในเมล็ดข้าวโพดบ่งบอกถึงการมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยปกป้องเซลล์ ลดการอักเสบ และอาจลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ
วิธีการปลูก
- การเลือกเมล็ดพันธุ์ เลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ Red Indian Corn จากแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยอาจระบุชื่อสายพันธุ์ที่ต้องการ เช่น ‘Bloody Butcher’ หรือ ‘Strawberry Popcorn’ หากมีสายพันธุ์ที่ชอบเป็นพิเศษ
- สภาพดินและแสงแดด
- ดิน ต้องการดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์สูง มีค่า pH อยู่ระหว่าง 6.0-7.0
- แสงแดด ต้องการแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน (อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง)
- ช่วงเวลาปลูก หว่านเมล็ดหลังพ้นน้ำค้างแข็งสุดท้าย และเมื่ออุณหภูมิของดินคงที่สูงกว่า () หรือในสภาพอากาศเขตร้อนสามารถปลูกได้เมื่อดินมีความชื้นและอุณหภูมิเหมาะสม
- การเตรียมดิน
- ไถพรวนดินให้ลึก 25-30 ซม. ตากดินไว้ 7-10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและไข่แมลง
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์
- ปรับหน้าดินให้เรียบ และเตรียมร่องปลูกหรือหลุมปลูก
- การหว่านเมล็ด
- ระยะปลูก หยอดเมล็ดลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร
- ปลูกเป็นกลุ่ม/บล็อก ข้าวโพดเป็นพืชที่อาศัยลมในการผสมเกสร การปลูกเป็นกลุ่มสี่เหลี่ยมจัตุรัสอย่างน้อย 4×4 ต้น หรือปลูกเป็นแถวหลายๆ แถวใกล้กัน จะช่วยให้การผสมเกสรมีประสิทธิภาพดีกว่าการปลูกเพียงแถวเดียว
- ระยะห่างระหว่างแถว 75-90 เซนติเมตร
- ระยะห่างระหว่างต้น 20-30 เซนติเมตร (ปลูก 2-3 เมล็ดต่อหลุม แล้วถอนแยกเหลือ 1 ต้นที่แข็งแรงที่สุดเมื่อต้นโต)
- กลบดินบางๆ และรดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังหยอดเมล็ด
- ระยะปลูก หยอดเมล็ดลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร
- การดูแลรักษา
- การรดน้ำ รดน้ำให้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวโพดเริ่มออกดอกและติดฝัก ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องการน้ำมากที่สุด เพื่อให้ได้ฝักที่สมบูรณ์และมีสีสันสวยงาม
- การให้ปุ๋ย
- ครั้งที่ 1 (เมื่อต้นสูง 20-30 ซม.) ใส่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เช่น ยูเรีย (46-0-0) หรือปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 20-30 กก./ไร่
- ครั้งที่ 2 (เมื่อเริ่มออกไหม/ดอก) ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 เพื่อบำรุงฝักให้สมบูรณ์และได้สีสันที่ดี อัตรา 20-30 กก./ไร่
- การกำจัดวัชพืช หมั่นกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการแข่งขันธาตุอาหารและน้ำ
- การป้องกันกำจัดศัตรูพืชและโรค เฝ้าระวังหนอนเจาะฝัก, หนอนกระทู้ข้าวโพด, เพลี้ยอ่อน และโรคทางใบต่างๆ ใช้สารชีวภาพหรือสารเคมีที่เหมาะสมหากมีการระบาดรุนแรง
- การเก็บเกี่ยว
- สำหรับข้าวโพดประดับ ควรปล่อยให้ฝักสุกเต็มที่และแห้งคาต้นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ กาบหุ้มฝักจะแห้งและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรือสีซีดลง และเมล็ดจะแข็งเต็มที่
- หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ให้แกะกาบหุ้มออกเล็กน้อย (แต่ไม่หมด) แล้วนำไปแขวนในที่แห้ง อากาศถ่ายเทดี เพื่อให้ฝักแห้งสนิทและสีสันติดทนก่อนนำไปใช้งานหรือเก็บรักษา