เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำ 60 เมล็ด
ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Zea mays ceratina) ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำคือข้าวโพดข้าวเหนียวที่มีเมล็ด, ซัง, และไหมเป็นสีม่วงแดงไปจนถึงม่วงดำ โดย “ก่ำ” เป็นคำพื้นเมืองที่หมายถึงสีดำหรือสีม่วงดำ โดยบางสายพันธุ์อาจมีเมล็ดสีขาวสลับม่วงได้ด้วย ข้าวโพดข้าวเหนียวมีลักษณะเด่นที่ความเหนียวนุ่มของเมล็ดเมื่อสุก ซึ่งแตกต่างจากข้าวโพดหวานทั่วไปที่มีเนื้อสัมผัสกรอบและรสหวานจัด ซึ่งเป็นที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คุณสมบัติ
- สีม่วงเข้ม
- เมล็ดข้าวโพดมีสีม่วงแดงถึงม่วงดำ บางสายพันธุ์อาจมีเมล็ดสีขาวสลับกับสีม่วง
- เนื้อเหนียวนุ่ม
- มีปริมาณอะไมโลเพกติน (Amylopectin) สูง ทำให้มีเนื้อสัมผัสเหนียว นุ่ม ไม่ร่วนเหมือนข้าวโพดหวาน
- รสชาติ
- มีรสชาติอร่อย หอมข้าวโพด
- อายุเก็บเกี่ยว
- โดยทั่วไปประมาณ 60-65 วัน หลังปลูก หรือ 18-20 วันหลังออกไหม
- ความสูงต้น/ฝัก
- ความสูงต้นโดยเฉลี่ยประมาณ 170-180 เซนติเมตร และตำแหน่งฝักสูงประมาณ 90-100 เซนติเมตร
- ขนาดฝัก
- ความยาวฝักประมาณ 17-18 เซนติเมตร และความกว้างฝักประมาณ 4-4.5 เซนติเมตร
ประโยชน์ของข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำ
- คุณค่าทางอาหารสูง ข้าวโพดข้าวเหนียวก่ำมีสารสำคัญอย่างแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ให้สีม่วงในพืชผักผลไม้ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น
- ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
- ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
- ลดการอักเสบในร่างกาย
- บำรุงสายตา
- ให้พลังงานที่ยั่งยืน ข้าวโพดข้าวเหนียวมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยได้ช้ากว่าคาร์โบไฮเดรตประเภทอื่น ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานมาก เช่น นักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกาย
- ใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่ายและรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร
- อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินเอ วิตามินบีต่างๆ (B1, B2, B3, B5, B6, B9) วิตามินซี ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และสังกะสี
- ช่วยบำรุงร่างกาย ตำรายาแผนไทยบางส่วนระบุว่าเมล็ดข้าวโพดมีรสหวานมัน ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงปอด และขับปัสสาวะ
วิธีการปลูก
- การเตรียมดิน
- ไถดินลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ตากดินไว้ประมาณ 7-10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและศัตรูพืชในดิน
- หว่านปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ (หากดินเป็นกรด) เพื่อปรับสภาพดิน อัตรา 500-1,000 กิโลกรัมต่อไร่
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1,000-1,500 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
- พรวนดินให้ละเอียด และอาจใส่ปุ๋ยรองพื้นสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนหยอดเมล็ด
- การปลูก
- ระยะปลูก มี 2 วิธีหลัก
- ปลูกแบบแถวเดี่ยว เว้นระยะห่างระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น 20-25 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น (บางแหล่งแนะนำ 2-3 เมล็ดต่อหลุม แล้วค่อยถอนแยกเมื่อต้นโต)
- ปลูกแบบแถวคู่ ยกร่องสูง โดยมีระยะห่างระหว่างร่อง 120-150 เซนติเมตร ปลูกเป็น 2 แถวข้างร่อง ห่างกัน 30 เซนติเมตร และมีระยะห่างระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร (บางแหล่งแนะนำ 3-5 เมล็ดต่อหลุม)
- หยอดเมล็ดลงหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินบางๆ และรดน้ำตามทันที
- ระยะปลูก มี 2 วิธีหลัก
- การให้น้ำ
- ให้น้ำหลังปลูกทันที และรดน้ำอย่างสม่ำเสมอทุก 7-14 วัน หรือตามสภาพอากาศ โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวโพดเริ่มออกดอกและติดฝัก ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าวโพดต้องการน้ำมาก
- การให้ปุ๋ย
- ครั้งที่ 1 เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 20-25 วัน หรือตอนทำรุ่นครั้งแรก (กำจัดวัชพืชและพรวนดิน) ใส่ปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่
- ครั้งที่ 2 เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 40-45 วัน หรือช่วงที่เริ่มออกไหม ใส่ปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ หรืออาจใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 เพิ่มเติม
- การกำจัดวัชพืชและพรวนดิน หมั่นกำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นข้าวโพด และพรวนดินเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี
- การป้องกันกำจัดศัตรูพืช หมั่นสำรวจและป้องกันกำจัดหนอน แมลง หรือโรคพืชที่อาจเข้าทำลาย
- การเก็บเกี่ยว
- สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 60-65 วัน หลังปลูก หรือสังเกตจากไหมที่ปลายฝักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือดำ และเมล็ดเต่งตึงเต็มฝัก
- ไม่ควรปล่อยให้ข้าวโพดแก่เกินไป เพราะจะทำให้เนื้อแข็งและเสียรสชาติความเหนียวนุ่ม