เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดอัญมณี 

30 ฿

  • จำนวน 20 เมล็ด
  • ด้วยความสวยงามของเมล็ด ทำให้ข้าวโพดอัญมณีได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาประดับตกแต่งบ้าน สวน หรือใช้ในงานศิลปะ
  • เป็นพืชที่น่าสนใจสำหรับการศึกษาพันธุกรรมและการผสมพันธุ์พืช
  • แม้จะสวยงาม แต่ก็สามารถนำไปรับประทานได้ เป็นข้าวโพดสายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับการทำป๊อปคอร์น (Popcorn) หรือนำไปบดทำแป้งข้าวโพด ไม่นิยมนำไปต้มกินแบบข้าวโพดหวานทั่วไป เพราะเนื้อจะแข็ง

เมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดอัญมณี 20 เมล็ด

ข้าวโพดอัญมณี (ชื่อวิทยาศาสตร์: Zea mays) คือข้าวโพดสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับการพัฒนาโดยชนพื้นเมืองอเมริกัน โดยเฉพาะ Carl Barnes ซึ่งเป็นผู้เพาะพันธุ์ข้าวโพดที่มีความสนใจในการอนุรักษ์และผสมพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมืองต่างๆ ทำให้เกิดข้าวโพดที่มีสีสันโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแต่ละฝัก ไม่ใช่ภาพที่แต่งขึ้นจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นสีธรรมชาติของเมล็ดข้าวโพดจริงๆ

คุณสมบัติ

  • สีสันสวยงาม
    • จุดเด่นที่สุดคือเมล็ดข้าวโพดที่มีสีสันสดใสหลากหลายสีผสมกันอยู่ในฝักเดียว เช่น ชมพู ม่วง ฟ้า เขียว เหลือง ส้ม แดง ซึ่งสีสันจะแตกต่างกันไปในแต่ละฝัก ทำให้แต่ละฝักมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
  • เมล็ดเงาใส
    • เมล็ดข้าวโพดมีความแวววาว มันเงา คล้ายแก้วหรืออัญมณีเมื่อสุกเต็มที่
  • สายพันธุ์แท้ (OP – Open Pollinated)
    • สามารถเก็บเมล็ดจากฝักมาปลูกต่อได้ โดยที่ลักษณะทางพันธุกรรมและสีสันยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
  • อายุเก็บเกี่ยว
    • ประมาณ 80-90 วัน หลังปลูก

ประโยชน์ของข้าวโพดอัญมณี

  1. เพื่อการประดับตกแต่ง ด้วยความสวยงามของเมล็ด ทำให้ข้าวโพดอัญมณีได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาประดับตกแต่งบ้าน สวน หรือใช้ในงานศิลปะ
  2. สำหรับรับประทาน แม้จะสวยงาม แต่ก็สามารถนำไปรับประทานได้ โดยเป็นข้าวโพดสายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับการทำป๊อปคอร์น (Popcorn) หรือนำไปบดทำแป้งข้าวโพด ไม่นิยมนำไปต้มกินแบบข้าวโพดหวาน  ทั่วไป เพราะเนื้อจะแข็ง
  3. เพื่อการอนุรักษ์และศึกษา เป็นพืชที่น่าสนใจสำหรับการศึกษาพันธุกรรมและการผสมพันธุ์พืช

วิธีการปลูก

  1. การเลือกเมล็ดพันธุ์ เลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดอัญมณีที่มีคุณภาพดี เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีสีสันสวยงามและอัตราการงอกที่ดี
  2. สภาพดินและแสงแดด
    • ดิน ชอบดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ที่ระบายน้ำได้ดี
    • แสงแดด ต้องการแสงแดดจัดตลอดวัน (แดดเต็มวัน)
  3. ช่วงเวลาปลูก ควรหว่านเมล็ดเมื่ออุณหภูมิของดินอยู่ที่อย่างน้อย () หรือประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนมิถุนายนในบางภูมิภาค เพราะเมล็ดอาจเน่าได้หากอุณหภูมิเย็นเกินไป
  4. การเตรียมดิน พรวนดินให้ร่วนซุย ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
  5. การหว่านเมล็ด
    • หว่านเมล็ดโดยตรงลงดิน โดยเว้นระยะห่างระหว่างเมล็ดประมาณ 15 เซนติเมตร (6 นิ้ว) หรือหว่าน 2 เมล็ดทุก 30 เซนติเมตร (12 นิ้ว)
    • ถ้าปลูกในกระถาง ควรใช้กระถางขนาดใหญ่ที่มีความลึกและกว้างเพียงพอ (ประมาณ เซนติเมตรขึ้นไป) เพราะรากข้าวโพดจะแผ่กว้าง
  6. การดูแลรักษา
    • การรดน้ำ รดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวโพดเริ่มออกฝักจนถึงเก็บเกี่ยว เพราะหากขาดน้ำ ฝักอาจเหี่ยวหรือฝ่อได้
    • การใส่ปุ๋ย สามารถใส่ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์ตามความเหมาะสม โดยเฉพาะปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงเมื่อเริ่มออกดอกและติดฝัก
    • การผสมเกสร เมื่อข้าวโพดเริ่มออกไหม (เส้นไหมที่ปลายฝัก) และมีเกสรตัวผู้ที่ยอดต้น ให้เด็ดเกสรตัวผู้มาเคาะหรือเขี่ยลงบนไหมของแต่ละฝัก เพื่อช่วยในการผสมเกสร หากฝักใดไม่ได้รับการผสมเกสรอาจฝ่อได้
    • การควบคุมศัตรูพืช หมั่นสำรวจและกำจัดหนอน แมลง หรือศัตรูพืชอื่นๆ ที่อาจเข้าทำลายต้นข้าวโพด
  7. การเก็บเกี่ยว เมื่อไหมที่ปลายฝักเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือดำ และฝักมีขนาดใหญ่สมบูรณ์ แสดงว่าพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว (ประมาณ 80-90 วันหลังปลูก)