เมล็ดพันธุ์ คื่นช่ายก้านชมพู 200 เมล็ด
คื่นช่ายก้านชมพู (ชื่อวิทยาศาสตร์: Apium graveolens L.) เป็นพืชล้มลุกในวงศ์ Apiaceae (เดียวกับผักชี แครอท) เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผักที่มีกลิ่นหอม รสชาติเฉพาะตัว และมีเนื้อสัมผัสที่กรอบ นิยมนำมาประกอบอาหารทั้งแบบสดในสลัด น้ำผักปั่น หรือปรุงสุกในซุป ผัด และอาหารอื่นๆ ส่วนที่นำมาบริโภคหลักคือ ก้านใบ ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่งยาว อวบน้ำ และ ใบ ซึ่งมีกลิ่นหอมเข้มข้นกว่าก้าน
คื่นช่ายมีหลากหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์มีก้านสีเขียวเข้ม บางสายพันธุ์มีสีเขียวอ่อน หรือมีสีชมพูอมแดงเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณสารแอนโทไซยานินที่สะสมในก้าน
คุณสมบัติ
- น้ำ ประมาณ 95% ของคื่นช่ายเป็นน้ำ ทำให้เป็นผักที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกายได้ดี
- ใยอาหาร สูงมาก ช่วยในการขับถ่ายและทำให้รู้สึกอิ่ม
- วิตามิน
- วิตามินเค สูงมาก มีความสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก
- วิตามินเอ (ในรูปของเบต้าแคโรทีน) บำรุงสายตาและผิวพรรณ
- วิตามินซี เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
- โฟเลต (วิตามินบี 9) สำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
- แร่ธาตุ
- โพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิตและรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย
- แคลเซียม สำคัญต่อกระดูกและฟัน
- แมกนีเซียม, แมงกานีส, ฟอสฟอรัส มีบทบาทสำคัญในการทำงานของร่างกาย
- สารต้านอนุมูลอิสระ
- ฟลาโวนอยด์ เช่น Apigenin และ Luteolin ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ
- โพลีฟีนอล สารประกอบพืชที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
- ไฟทาไลด์ (Phthalides) เป็นสารประกอบเฉพาะที่ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของคื่นช่าย และเชื่อว่ามีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต
- สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย ที่ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีคุณสมบัติทางยา
ประโยชน์ของคื่นช่ายก้านชมพู
- ลดความดันโลหิต สารไฟทาไลด์ (Phthalides) และโพแทสเซียมในคื่นช่ายเชื่อว่ามีส่วนช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและลดความดันโลหิต
- ลดคอเลสเตอรอล ใยอาหารและสารประกอบบางชนิดในคื่นช่ายอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในเลือด
- ต้านการอักเสบ สารฟลาโวนอยด์ Apigenin และ Luteolin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่อาจช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย
- เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังและริ้วรอยก่อนวัย
- ช่วยในการย่อยอาหาร ใยอาหารสูงช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก และส่งเสริมสุขภาพระบบทางเดินอาหาร
- ช่วยในการขับปัสสาวะ (Diuretic effect) คื่นช่ายมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ ซึ่งอาจช่วยลดอาการบวมน้ำ
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลคงที่
- ช่วยในการลดน้ำหนัก เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำมากและมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้รู้สึกอิ่มโดยไม่เพิ่มแคลอรี่มากเกินไป
- บำรุงกระดูก วิตามินเคมีบทบาทสำคัญในการสร้างความแข็งแรงของกระดูก
วิธีการปลูก
การเพาะเมล็ด
- เตรียมเมล็ด เมล็ดคื่นช่ายมีขนาดเล็กมาก และงอกช้า ควรเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดี
- เตรียมดินเพาะกล้า ใช้ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง (เช่น ดินผสมปุ๋ยหมักละเอียด)
- หว่านเมล็ด หว่านเมล็ดลงบนถาดเพาะกล้า หรือกระถางเพาะ ไม่ต้องกลบดินหนามาก หรือโรยดินบางๆ ทับเล็กน้อย (ประมาณ 0.5 ซม.) เพราะเมล็ดต้องการแสงในการงอกบางส่วน
- รดน้ำ รดน้ำเบาๆ ด้วยบัวรดน้ำฝอยละเอียดให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ คลุมถาดเพาะด้วยพลาสติกใสเพื่อรักษาความชื้น
- การดูแล วางถาดเพาะในที่ร่มรำไรที่อุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส เมล็ดจะงอกภายใน 10-21 วัน (อาจใช้เวลานานกว่าผักอื่นๆ) เมื่อกล้างอกแล้ว ให้ค่อยๆ ลดการคลุมพลาสติกออก
- ย้ายกล้า เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ และสูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร (ประมาณ 6-8 สัปดาห์หลังเพาะ) สามารถย้ายลงแปลงปลูกหรือกระถางใหญ่ขึ้นได้
การปลูกจากตอคื่นช่าย (วิธีง่ายสำหรับปลูกในครัวเรือน):
- ตัดก้านคื่นช่ายที่บริโภคแล้ว ให้เหลือส่วนโคนที่มีรากและตาใบเล็กๆ ติดอยู่ประมาณ 1-2 นิ้ว
- นำโคนคื่นช่ายไปวางในภาชนะตื้นๆ ที่มีน้ำหล่ออยู่เล็กน้อย (ให้ส่วนโคนจุ่มน้ำ แต่ไม่ท่วมตาใบ)
- วางภาชนะในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง เมื่อเริ่มมีรากและใบใหม่แตกออกมา สามารถย้ายไปปลูกลงดินหรือกระถางได้
การปลูกและดูแล
- สภาพแวดล้อม
- แสงแดด คื่นช่ายชอบแสงแดดเต็มที่ แต่หากอากาศร้อนจัด ควรมีร่มเงาในช่วงบ่ายเพื่อป้องกันใบไหม้
- อุณหภูมิ ชอบอากาศเย็นถึงปานกลาง อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 15-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่สูงเกินไปอาจทำให้ก้านเหนียวและมีรสขม
- ดิน ดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้ำได้ดี และรักษาความชื้นได้ดี ควรมีค่า pH ประมาณ 6.0-7.0
- การเตรียมแปลงปลูก ไถพรวนดินให้ร่วนซุย ลึกประมาณ 20-30 ซม. ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน
- ระยะปลูก ปลูกเป็นแถว โดยมีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 20-30 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 30-45 เซนติเมตร
- การให้น้ำ คื่นช่ายเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก รดน้ำสม่ำเสมอทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง (เช้า-เย็น) โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแห้งแล้ง หรือในฤดูร้อน ควรให้น้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง
- การให้ปุ๋ย
- หลังย้ายปลูก 1-2 สัปดาห์ หรือเมื่อต้นเริ่มตั้งตัวได้ดี ให้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในปริมาณเล็กน้อย
- อาจให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเล็กน้อยเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบและก้าน
- ควรมีการเติมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
- การพรวนดินและกำจัดวัชพืช หมั่นพรวนดินรอบโคนต้นอย่างเบามือ เพื่อช่วยให้ดินร่วนซุย และกำจัดวัชพืชออกอย่างสม่ำเสมอ
- การป้องกันศัตรูพืชและโรค คื่นช่ายอาจถูกโจมตีโดยหนอนผีเสื้อ เพลี้ย หรือโรคราน้ำค้าง ควรหมั่นสำรวจและใช้สารชีวภัณฑ์ หรือวิธีธรรมชาติในการควบคุมศัตรูพืช
4. การเก็บเกี่ยว
- คื่นช่ายจะใช้เวลาประมาณ 80-120 วันหลังเพาะเมล็ด จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการดูแล
- สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อก้านใบมีขนาดใหญ่และอวบตามต้องการ โดยการตัดก้านด้านนอกที่โคนต้น เพื่อให้ก้านด้านในเจริญเติบโตต่อไป หรือตัดทั้งต้นเหนือโคนเล็กน้อย