เมล็ดพันธุ์ โขมทองซุปเปอร์ฟู้ด

30 ฿

  • จำนวน 100 เมล็ด
  • ช่วยควบคุมความดันโลหิตและรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย
  • เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่มีใยอาหารและโปรตีนสูง
  • ใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด

เมล็ดพันธุ์ โขมทองซุปเปอร์ฟู้ด 100 เมล็ด

โขมทองซุปเปอร์ฟู้ด คือ “โขมทอง” ในฐานะ “ซุปเปอร์ฟู้ด” คือ ผักใบเขียว (หรือในกรณีนี้คือใบสีทอง/เหลือง) ในตระกูลผักโขม (Amaranthaceae) ที่อุดมไปด้วยสารอาหารและสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณสูงมาก เป็นพืชล้มลุกที่เติบโตได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถบริโภคได้ทั้งใบอ่อนและลำต้นอ่อน รวมถึงเมล็ด (ในบางสายพันธุ์)

ผักโขมได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งของสารอาหารที่ดีเยี่ยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงเป็นที่นิยมทั่วโลกในฐานะผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

คุณสมบัติ

  • วิตามินสูง
    • วิตามินเอ (ในรูปของเบต้าแคโรทีน) สูงมาก โดยเฉพาะในผักโขมที่มีสีเข้มหรือสีทอง มีความสำคัญต่อการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพผิว
    • วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
    • วิตามินเค มีบทบาทสำคัญในการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก
    • โฟเลต (วิตามินบี 9) สำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและการพัฒนาของทารกในครรภ์
  • แร่ธาตุจำเป็น
    • ธาตุเหล็ก เป็นแหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง
    • แคลเซียม สูงกว่าผักใบเขียวหลายชนิด มีความสำคัญต่อกระดูกและฟันที่แข็งแรง
    • โพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิตและรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย
    • แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และสังกะสี มีบทบาทสำคัญในการทำงานของร่างกายหลายระบบ
  • ใยอาหารสูง ช่วยส่งเสริมระบบขับถ่ายให้ทำงานปกติ ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
  • โปรตีนสูง เมื่อเทียบกับผักใบเขียวอื่นๆ ผักโขมมีปริมาณโปรตีนที่ค่อนข้างสูง และเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี (มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนในบางสายพันธุ์ โดยเฉพาะเมล็ดผักโขม)

ประโยชน์ของโขมทองซุปเปอร์ฟู้ด

  1. บำรุงเลือดและป้องกันภาวะโลหิตจาง อุดมด้วยธาตุเหล็กและโฟเลต ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยเพิ่มระดับฮีโมโกลบิน และป้องกันภาวะโลหิตจาง โดยเฉพาะในสตรีมีครรภ์หรือผู้ที่มีปัญหาเลือดจาง
  2. เสริมสร้างกระดูกและฟัน แคลเซียมและวิตามินเคมีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
  3. บำรุงสายตา วิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยปกป้องดวงตาจากรังสี UV และแสงสีฟ้า ลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจก
  4. ต้านอนุมูลอิสระและชะลอวัย สารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงบำรุงผิวพรรณ
  5. ส่งเสริมระบบขับถ่าย ใยอาหารสูงช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการท้องผูก และช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้
  6. ช่วยควบคุมความดันโลหิต โพแทสเซียมช่วยควบคุมความสมดุลของโซเดียมในร่างกาย และสารต้านอนุมูลอิสระอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพหลอดเลือด
  7. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินซีและสารอาหารอื่นๆ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและลดการติดเชื้อได้ดีขึ้น
  8. ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่มีใยอาหารและโปรตีนสูง ทำให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และส่งเสริมการเผาผลาญ
  9. อาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

วิธีการปลูก

การเพาะเมล็ด

  1. เตรียมเมล็ดใช้เมล็ดพันธุ์ผักโขมที่สมบูรณ์ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเมล็ดพันธุ์ทั่วไป
  2. เตรียมดินเพาะกล้า ใช้ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี ผสมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ
  3. หว่านเมล็ด หว่านเมล็ดลงบนแปลงเพาะหรือในกระถางให้กระจายตัว โดยไม่ต้องกลบดินหนามาก (ประมาณ 0.5 ซม. หรือโรยดินบางๆ ทับเล็กน้อย) เมล็ดผักโขมมีขนาดเล็ก หากโรยหนาไปจะทำให้ต้นกล้าแน่นเกินไป
  4. รดน้ำ รดน้ำเบาๆ ด้วยบัวรดน้ำฝอยละเอียดให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ วางในที่ร่มรำไร เมล็ดจะงอกภายใน 3-7 วัน
  5. ย้ายกล้า (ถ้าจำเป็น) เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 คู่ และสูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร (ประมาณ 10-15 วันหลังเพาะเมล็ด) สามารถย้ายลงแปลงปลูกหรือกระถางใหญ่ขึ้นได้ โดยใช้ช้อนหรือเสียมเล็กๆ แซะรอบๆ ต้นกล้าให้รากไม่ขาดมากที่สุด

การปลูกและดูแล

  1. สภาพแวดล้อม
    • แสงแดด ผักโขมชอบแสงแดดจัดเต็มที่ อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้เจริญเติบโตได้ดีและให้สีใบที่สวยงาม (โดยเฉพาะถ้าเป็นพันธุ์สีทอง/แดง)
    • อุณหภูมิ เติบโตได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่นถึงร้อน แต่ก็สามารถทนอากาศเย็นได้ในระดับหนึ่ง
  2. ดิน: ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง และมีความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 6.0-7.5
  3. การเตรียมแปลงปลูก
    • ไถพรวนดินให้ร่วนซุย ลึกประมาณ 15-20 ซม.
    • ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และปรับปรุงโครงสร้างดิน
  4. ระยะปลูก
    • หากปลูกเป็นแถว ควรมีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 20-30 เซนติเมตร เพื่อให้ต้นมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตและง่ายต่อการดูแล
    • หากปลูกแบบหว่าน ก็ให้หว่านกระจายให้ทั่วแปลง แต่ระวังอย่าให้แน่นเกินไป
  5. การให้น้ำ
    • รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนหรือดินแห้งแล้ง
    • รักษาความชื้นในดินให้สม่ำเสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง เพราะอาจทำให้รากเน่าได้
  6. การให้ปุ๋ย
    • หลังจากย้ายปลูกหรือเมื่อต้นกล้าเริ่มตั้งตัวได้ดี (ประมาณ 7-10 วัน) สามารถให้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพเจือจาง เพื่อบำรุงการเจริญเติบโตของใบ
    • หากจำเป็น อาจใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในปริมาณน้อยๆ หว่านบางๆ รอบโคนต้นแล้วรดน้ำตาม
  7. การพรวนดินและกำจัดวัชพืช
    • หมั่นพรวนดินรอบโคนต้นอย่างเบามือ เพื่อช่วยให้ดินร่วนซุย อากาศถ่ายเทได้ดี และรากได้รับออกซิเจน
    • กำจัดวัชพืชออกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้วัชพืชแย่งธาตุอาหารและน้ำจากต้นผักโขม
  8. ศัตรูพืชและโรค
    • ผักโขมค่อนข้างทนทานต่อศัตรูพืชและโรค แต่ก็อาจพบหนอนผีเสื้อ หนอนใยผัก เพลี้ย หรือโรคราน้ำค้างบ้าง
    • ควรหมั่นสำรวจแปลงปลูก หากพบปัญหาให้รีบแก้ไขโดยใช้สารชีวภัณฑ์ หรือวิธีธรรมชาติ เช่น การฉีดพ่นน้ำหมักสะเดา

การเก็บเกี่ยว

    1. ผักโขมเป็นพืชที่โตเร็ว สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้ภายใน 20-30 วันหลังย้ายปลูก (หรือประมาณ 30-45 วันหลังหว่านเมล็ด) ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการดูแล
    2. สามารถเก็บเกี่ยวได้ 2 วิธี
      • ตัดเก็บทั้งต้น ใช้มีดคมๆ ตัดที่โคนต้นเมื่อต้นมีขนาดตามต้องการ
      • ตัดเก็บทีละใบ/ยอด ตัดเฉพาะใบอ่อนหรือยอดอ่อนด้านบน เพื่อให้ต้นแตกยอดใหม่ขึ้นมาให้เก็บเกี่ยวได้อีกหลายครั้ง (วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ)