เมล็ดพันธุ์ โขมทองซุปเปอร์ฟู้ด 100 เมล็ด
โขมทองซุปเปอร์ฟู้ด คือ “โขมทอง” ในฐานะ “ซุปเปอร์ฟู้ด” คือ ผักใบเขียว (หรือในกรณีนี้คือใบสีทอง/เหลือง) ในตระกูลผักโขม (Amaranthaceae) ที่อุดมไปด้วยสารอาหารและสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณสูงมาก เป็นพืชล้มลุกที่เติบโตได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถบริโภคได้ทั้งใบอ่อนและลำต้นอ่อน รวมถึงเมล็ด (ในบางสายพันธุ์)
ผักโขมได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งของสารอาหารที่ดีเยี่ยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงเป็นที่นิยมทั่วโลกในฐานะผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
คุณสมบัติ
- วิตามินสูง
- วิตามินเอ (ในรูปของเบต้าแคโรทีน) สูงมาก โดยเฉพาะในผักโขมที่มีสีเข้มหรือสีทอง มีความสำคัญต่อการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพผิว
- วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
- วิตามินเค มีบทบาทสำคัญในการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก
- โฟเลต (วิตามินบี 9) สำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและการพัฒนาของทารกในครรภ์
- แร่ธาตุจำเป็น
- ธาตุเหล็ก เป็นแหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง
- แคลเซียม สูงกว่าผักใบเขียวหลายชนิด มีความสำคัญต่อกระดูกและฟันที่แข็งแรง
- โพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิตและรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย
- แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และสังกะสี มีบทบาทสำคัญในการทำงานของร่างกายหลายระบบ
- ใยอาหารสูง ช่วยส่งเสริมระบบขับถ่ายให้ทำงานปกติ ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
- โปรตีนสูง เมื่อเทียบกับผักใบเขียวอื่นๆ ผักโขมมีปริมาณโปรตีนที่ค่อนข้างสูง และเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี (มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนในบางสายพันธุ์ โดยเฉพาะเมล็ดผักโขม)
ประโยชน์ของโขมทองซุปเปอร์ฟู้ด
- บำรุงเลือดและป้องกันภาวะโลหิตจาง อุดมด้วยธาตุเหล็กและโฟเลต ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยเพิ่มระดับฮีโมโกลบิน และป้องกันภาวะโลหิตจาง โดยเฉพาะในสตรีมีครรภ์หรือผู้ที่มีปัญหาเลือดจาง
- เสริมสร้างกระดูกและฟัน แคลเซียมและวิตามินเคมีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
- บำรุงสายตา วิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยปกป้องดวงตาจากรังสี UV และแสงสีฟ้า ลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจก
- ต้านอนุมูลอิสระและชะลอวัย สารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงบำรุงผิวพรรณ
- ส่งเสริมระบบขับถ่าย ใยอาหารสูงช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการท้องผูก และช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้
- ช่วยควบคุมความดันโลหิต โพแทสเซียมช่วยควบคุมความสมดุลของโซเดียมในร่างกาย และสารต้านอนุมูลอิสระอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพหลอดเลือด
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินซีและสารอาหารอื่นๆ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและลดการติดเชื้อได้ดีขึ้น
- ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่มีใยอาหารและโปรตีนสูง ทำให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และส่งเสริมการเผาผลาญ
- อาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
วิธีการปลูก
การเพาะเมล็ด
- เตรียมเมล็ดใช้เมล็ดพันธุ์ผักโขมที่สมบูรณ์ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเมล็ดพันธุ์ทั่วไป
- เตรียมดินเพาะกล้า ใช้ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี ผสมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ
- หว่านเมล็ด หว่านเมล็ดลงบนแปลงเพาะหรือในกระถางให้กระจายตัว โดยไม่ต้องกลบดินหนามาก (ประมาณ 0.5 ซม. หรือโรยดินบางๆ ทับเล็กน้อย) เมล็ดผักโขมมีขนาดเล็ก หากโรยหนาไปจะทำให้ต้นกล้าแน่นเกินไป
- รดน้ำ รดน้ำเบาๆ ด้วยบัวรดน้ำฝอยละเอียดให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ วางในที่ร่มรำไร เมล็ดจะงอกภายใน 3-7 วัน
- ย้ายกล้า (ถ้าจำเป็น) เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 คู่ และสูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร (ประมาณ 10-15 วันหลังเพาะเมล็ด) สามารถย้ายลงแปลงปลูกหรือกระถางใหญ่ขึ้นได้ โดยใช้ช้อนหรือเสียมเล็กๆ แซะรอบๆ ต้นกล้าให้รากไม่ขาดมากที่สุด
การปลูกและดูแล
- สภาพแวดล้อม
- แสงแดด ผักโขมชอบแสงแดดจัดเต็มที่ อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้เจริญเติบโตได้ดีและให้สีใบที่สวยงาม (โดยเฉพาะถ้าเป็นพันธุ์สีทอง/แดง)
- อุณหภูมิ เติบโตได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่นถึงร้อน แต่ก็สามารถทนอากาศเย็นได้ในระดับหนึ่ง
- ดิน: ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง และมีความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 6.0-7.5
- การเตรียมแปลงปลูก
- ไถพรวนดินให้ร่วนซุย ลึกประมาณ 15-20 ซม.
- ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และปรับปรุงโครงสร้างดิน
- ระยะปลูก
- หากปลูกเป็นแถว ควรมีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 20-30 เซนติเมตร เพื่อให้ต้นมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตและง่ายต่อการดูแล
- หากปลูกแบบหว่าน ก็ให้หว่านกระจายให้ทั่วแปลง แต่ระวังอย่าให้แน่นเกินไป
- การให้น้ำ
- รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนหรือดินแห้งแล้ง
- รักษาความชื้นในดินให้สม่ำเสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง เพราะอาจทำให้รากเน่าได้
- การให้ปุ๋ย
- หลังจากย้ายปลูกหรือเมื่อต้นกล้าเริ่มตั้งตัวได้ดี (ประมาณ 7-10 วัน) สามารถให้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพเจือจาง เพื่อบำรุงการเจริญเติบโตของใบ
- หากจำเป็น อาจใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในปริมาณน้อยๆ หว่านบางๆ รอบโคนต้นแล้วรดน้ำตาม
- การพรวนดินและกำจัดวัชพืช
- หมั่นพรวนดินรอบโคนต้นอย่างเบามือ เพื่อช่วยให้ดินร่วนซุย อากาศถ่ายเทได้ดี และรากได้รับออกซิเจน
- กำจัดวัชพืชออกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้วัชพืชแย่งธาตุอาหารและน้ำจากต้นผักโขม
- ศัตรูพืชและโรค
- ผักโขมค่อนข้างทนทานต่อศัตรูพืชและโรค แต่ก็อาจพบหนอนผีเสื้อ หนอนใยผัก เพลี้ย หรือโรคราน้ำค้างบ้าง
- ควรหมั่นสำรวจแปลงปลูก หากพบปัญหาให้รีบแก้ไขโดยใช้สารชีวภัณฑ์ หรือวิธีธรรมชาติ เช่น การฉีดพ่นน้ำหมักสะเดา
การเก็บเกี่ยว
-
- ผักโขมเป็นพืชที่โตเร็ว สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้ภายใน 20-30 วันหลังย้ายปลูก (หรือประมาณ 30-45 วันหลังหว่านเมล็ด) ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการดูแล
- สามารถเก็บเกี่ยวได้ 2 วิธี
- ตัดเก็บทั้งต้น ใช้มีดคมๆ ตัดที่โคนต้นเมื่อต้นมีขนาดตามต้องการ
- ตัดเก็บทีละใบ/ยอด ตัดเฉพาะใบอ่อนหรือยอดอ่อนด้านบน เพื่อให้ต้นแตกยอดใหม่ขึ้นมาให้เก็บเกี่ยวได้อีกหลายครั้ง (วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ)