เมล็ดพันธุ์ ผักโขมเบตง

30 ฿

  • จำนวน 30 เมล็ด
  • แหล่งวิตามินเอสูงช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • แหล่งธาตุเหล็กสูงช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันภาวะโลหิตจาง
  • แหล่งวิตามินซีสูงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและต้านอนุมูลอิสระ

เมล็ดพันธุ์ ผักโขมเบตง 30 เมล็ด

ผักโขมเบตง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Amaranthus tricolor) เป็นชื่อเรียกของ ผักโขมจีนชนิดหนึ่ง ที่มีการปลูกและนิยมบริโภคกันมากในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา จนกลายเป็นชื่อเรียกเฉพาะถิ่น ลักษณะทั่วไปเป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 30-100 เซนติเมตร ลำต้นอวบน้ำ สีเขียวอ่อนหรือม่วงแดง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกสลับ รูปไข่หรือรูปหอก ปลายแหลม ขอบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย มีสีเขียว แดง หรือสองสีผสมกัน ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอดและตามซอกใบ มีขนาดเล็กสีเขียวหรือแดง ผักโขมเบตงมีลักษณะแตกต่างจากผักโขมฝรั่ง อย่างชัดเจน ทั้งในด้านรูปร่าง ใบ และรสชาติ ผักโขมเบตงมีลำต้นและใบที่ใหญ่กว่า เนื้อใบนุ่มกว่า และมีรสชาติหวานกว่าเล็กน้อย อาจมีชื่อเรียกอื่น ๆ ตามท้องถิ่น เช่น ผักขมจีน ผักโขมแดง (สำหรับพันธุ์ที่มีใบสีแดง)

คุณสมบัติ

  • ลักษณะภายนอก ลำต้นอวบน้ำ ใบใหญ่ นุ่ม สีเขียว แดง หรือสองสีผสมกัน
  • รสชาติ มีรสชาติหวานกว่าผักโขมฝรั่งเล็กน้อย ไม่ขม
  • เนื้อสัมผัส เนื้อใบนุ่ม ฉ่ำน้ำ
  • คุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค โฟเลต ธาตุเหล็ก แคลเซียม และใยอาหาร รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ
  • เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น เหมาะกับการปลูกในประเทศไทย

ประโยชน์ของผักโขมเบตง

  1. บริโภคเป็นอาหาร เป็นผักใบเขียวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง นิยมนำมาผัด ต้ม แกง หรือใส่ในซุป
  2. แหล่งวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และระบบภูมิคุ้มกัน
  3. แหล่งวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและต้านอนุมูลอิสระ
  4. แหล่งวิตามินเคสูง ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและบำรุงกระดูก
  5. แหล่งโฟเลตสูง มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่และการพัฒนาของทารกในครรภ์
  6. แหล่งธาตุเหล็กสูง ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันภาวะโลหิตจาง
  7. แหล่งแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
  8. ใยอาหารสูง ช่วยในระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  9. สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังบางชนิด

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมดิน

    • เลือกพื้นที่ปลูกที่ดินร่วน โปร่ง ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง และมีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
    • ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร ตากดินไว้ 3-5 วัน
    • ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว อัตรา 2-3 ตันต่อไร่ แล้วไถกลบ
  2. การเพาะเมล็ด (แนะนำเพื่อการเจริญเติบโตที่สม่ำเสมอ)

    • แช่เมล็ดในน้ำสะอาดประมาณ 6-8 ชั่วโมง
    • เพาะในถาดเพาะกล้าด้วยวัสดุเพาะ เช่น พีทมอส หรือดินผสม
    • รดน้ำให้ชุ่ม เก็บไว้ในที่ร่มรำไร เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ (ประมาณ 2-3 สัปดาห์) จึงย้ายลงแปลงปลูก
  3. การปลูก (สามารถหยอดเมล็ดลงแปลงโดยตรงได้)

    • ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดประมาณ 30x30x30 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุมและระหว่างแถวประมาณ 60-90 เซนติเมตร
    • นำต้นกล้าลงปลูก กลบดินให้มิดโคนต้น กดดินเบา ๆ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
    • หากหยอดเมล็ดโดยตรง ให้หยอด 2-3 เมล็ดต่อหลุม เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ ให้ถอนแยกเหลือหลุมละ 1 ต้น
  4. การดูแลรักษา

    • การให้น้ำ ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต ช่วงออกดอก และติดผล รักษาระดับความชื้นในดินให้สม่ำเสมอ
    • การให้ปุ๋ย ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และเมื่อเริ่มติดผลให้ปุ๋ยสูตรที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงขึ้น (เช่น 12-24-12 หรือ 13-13-21) เพื่อส่งเสริมการออกดอกและติดผล
    • การกำจัดวัชพืช กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ
    • การป้องกันและกำจัดโรคแมลง หมั่นตรวจแปลงปลูก หากพบโรคหรือแมลงให้รีบทำการป้องกันและกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การใช้สารชีวภัณฑ์ หรือสารเคมีในกรณีที่จำเป็น
  5. การเก็บเกี่ยว

    • ซูกีนีจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 40-55 วัน หลังการเพาะเมล็ด ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
    • เก็บเกี่ยวเมื่อผลมีขนาดพอเหมาะตามต้องการ (โดยทั่วไปยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร) และผิวยังอ่อนนุ่ม ควรเก็บเกี่ยวอย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นให้ต้นออกดอกและติดผลอย่างต่อเนื่อง