เมล็ดพันธุ์ บีทรูท

30 ฿

  • จำนวน 30 เมล็ด
  • แหล่งสารต้านอนุมูลอิสระสูงโดยเฉพาะบีทานิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด
  • มีไนเตรต (nitrate) ตามธรรมชาติ ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นไนตริกออกไซด์ (nitric oxide) ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว
  • มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่และการพัฒนาของทารกในครรภ์
  • ไนเตรตช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อ

เมล็ดพันธุ์ บีทรูท 30 เมล็ด

บีทรูท (ชื่อวิทยาศาสตร์: Beta vulgaris subsp. vulgaris) เป็นพืชหัวชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ผักโขม (Amaranthaceae) ส่วนที่นิยมรับประทานคือ หัวใต้ดินที่มีลักษณะกลม แบน หรือยาวรี มีสีแดงม่วงสด แต่ก็มีบีทรูทที่มีสีเหลือง ขาว หรือส้มเช่นกัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เป็นพืชสองปี แต่ส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นพืชปีเดียวเพื่อเก็บเกี่ยวหัว ใบมีสีเขียวเข้มหรือม่วงแดง มีก้านใบยาว ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งและลำต้น หัวใต้ดินเป็นส่วนสะสมอาหาร มีเนื้อฉ่ำน้ำ เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และนิยมนำมาประกอบอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิด

คุณสมบัติ

  • ลักษณะภายนอกหลากหลาย หัวมีรูปร่างกลม แบน หรือยาวรี สีแดงม่วง เหลือง ขาว หรือส้ม
  • รสชาติหวานดิน มีรสชาติหวานเล็กน้อยถึงหวานปานกลาง มีกลิ่นดินที่เป็นเอกลักษณ์
  • เนื้อสัมผัส เนื้อแน่น กรอบ และฉ่ำน้ำ
  • คุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โฟเลต โพแทสเซียม แมงกานีส เหล็ก วิตามินซี และใยอาหาร รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ เช่น บีทานิน (betanin) ซึ่งเป็นสารให้สีแดงม่วง
  • เก็บรักษาได้นาน สามารถเก็บรักษาในตู้เย็นได้นานพอสมควร

ประโยชน์ของบีทรูท

  1. แหล่งสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะบีทานิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด
  2. ช่วยลดความดันโลหิต มีไนเตรต (nitrate) ตามธรรมชาติ ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นไนตริกออกไซด์ (nitric oxide) ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว
  3. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์
  4. บำรุงสมอง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังสมอง
  5. เพิ่มพลังงานและความทนทานในการออกกำลังกาย ไนเตรตช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อ
  6. ดีต่อระบบย่อยอาหาร มีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูก
  7. เป็นแหล่งโฟเลต มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่และการพัฒนาของทารกในครรภ์
  8. ใช้ประกอบอาหารหลากหลาย สามารถรับประทานสดในสลัด นำไปต้ม อบ ย่าง ปั่นเป็นน้ำผลไม้ หรือใช้แต่งสีอาหาร

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมดิน

    • เลือกพื้นที่ปลูกที่ดินร่วน โปร่ง ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง และมีค่า pH ประมาณ 6.0-7.0
    • ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน
    • ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ แล้วไถกลบ
  2. การเพาะเมล็ด

    • บีทรูทสามารถปลูกได้โดยการเพาะเมล็ดโดยตรงลงแปลง หรือเพาะกล้าก่อนย้ายปลูก
    • เพาะเมล็ดโดยตรง หว่านเมล็ดเป็นแถว โดยมีระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 20-30 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 10-15 เซนติเมตร กลบเมล็ดด้วยดินบาง ๆ ประมาณ 1-2 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่ม
    • เพาะกล้า หว่านเมล็ดในถาดเพาะกล้า เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ (ประมาณ 3-4 สัปดาห์) สามารถย้ายลงแปลงปลูก โดยให้มีระยะห่างเช่นเดียวกับการหว่านเมล็ดโดยตรง
  3. การดูแลรักษา

    • การให้น้ำ รดน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ดินมีความชื้นสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการงอก และช่วงที่หัวกำลังเจริญเติบโต
    • การพรวนดินและกำจัดวัชพืช พรวนดินเบา ๆ รอบโคนต้น และกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ
    • การถอนแยก หากปลูกโดยการหว่านเมล็ดโดยตรง เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ ให้ถอนแยกต้นที่อ่อนแอหรือขึ้นถี่เกินไป
    • การให้ปุ๋ย บีทรูทไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก หากดินไม่ดีอาจให้ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในปริมาณเล็กน้อยในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และอาจเสริมด้วยปุ๋ยโพแทสเซียมในช่วงที่หัวเริ่มขยายใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงปุ๋ยไนโตรเจนสูง เพราะจะทำให้ใบงามแต่หัวไม่โต
    • การพูนโคน เมื่อหัวบีทรูทเริ่มโผล่พ้นดินเล็กน้อย อาจพูนดินกลบเพื่อป้องกันไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง ซึ่งอาจทำให้หัวแข็งกระด้าง
  4. การเก็บเกี่ยว

    • บีทรูทจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 50-70 วัน หลังการเพาะเมล็ด ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และขนาดที่ต้องการ
    • สังเกตจากขนาดของหัวบีทรูทที่ได้ตามต้องการ โดยทั่วไปจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-10 เซนติเมตร
    • ใช้มือดึงที่โคนต้นเบา ๆ หรือใช้เสียมแซะดินรอบ ๆ แล้วดึงขึ้น ควรระมัดระวังไม่ให้หัวบีทรูทช้ำ