เมล็ดพันธุ์ แตงโมดำ

30 ฿

  • จำนวน 40 เมล็ด
  • เป็นผลไม้ที่ให้ความสดชื่น ดับกระหายคลายร้อนได้ดี
  • มีไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
  • มีปริมาณน้ำสูง ช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • มีวิตามินเอ วิตามินซี และโพแทสเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย

เมล็ดพันธุ์ แตงโมดำ 40 เมล็ด

แตงโมดำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Citrullus lanatus) มีลักษณะเด่นคือ เปลือกผลมีสีเขียวเข้มมากจนเกือบดำ หรือมีลายแถบสีเขียวเข้มที่ดูคล้ายสีดำเมื่อมองไกล ๆ คำนี้มักใช้เรียกแตงโมบางสายพันธุ์ที่มีลักษณะเปลือกเช่นนี้ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสายพันธุ์ที่มีเมล็ดและไม่มีเมล็ด แตงโมดำมีรูปทรงกลมหรือรี เนื้อมีสีแดงสด รสชาติหวานฉ่ำ มีเมล็ดสีดำ (ในพันธุ์มีเมล็ด) หรือไม่มีเมล็ด (ในพันธุ์ไร้เมล็ด) สีเปลือกที่เข้มเป็นเอกลักษณ์ทำให้แตงโมดำมีความน่าสนใจและแตกต่างจากแตงโมลายทั่วไป

คุณสมบัติ

  • ลักษณะภายนอก
    • เปลือกมีสีเขียวเข้มมากจนเกือบดำ หรือมีลายแถบสีเขียวเข้มที่ดูคล้ายสีดำ
  • รสชาติหวาน
    • เนื้อมีความหวานและมีกลิ่นหอมชื่นใจ
  • เนื้อสัมผัส
    • เนื้อมีความฉ่ำน้ำ กรอบ หรือนุ่ม แล้วแต่สายพันธุ์และความแก่ของผล
  • สีเนื้อ
    • ส่วนใหญ่มักมีสีแดงสด แต่ก็มีบางสายพันธุ์ที่มีเนื้อสีเหลืองหรือสีส้ม
  • เมล็ด
    • มีทั้งพันธุ์ที่มีเมล็ดสีดำ และพันธุ์ไร้เมล็ด
  • คุณค่าทางโภชนาการ
    • อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี โพแทสเซียม และไลโคปีน

ประโยชน์ของแตงโมดำ

  1. บริโภคสด
    • เป็นผลไม้ที่ให้ความสดชื่น ดับกระหายคลายร้อนได้ดี
  2. แหล่งวิตามินและแร่ธาตุ
    • มีวิตามินเอ วิตามินซี และโพแทสเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย
  3. สารต้านอนุมูลอิสระ
    • มีไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
  4. ให้ความชุ่มชื้น
    • มีปริมาณน้ำสูง ช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำ
  5. ใยอาหาร
    • ช่วยในการขับถ่าย
  6. นำไปทำเครื่องดื่มและอาหาร
    • สามารถนำไปทำน้ำแตงโมปั่น หรือใช้ในเมนูขนมหวานต่าง ๆ
  7. เป็นพืชเศรษฐกิจ
    • เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

วิธีการปลูก

  1. การเตรียมดิน

    • เลือกพื้นที่ปลูกที่ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
    • ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน
    • ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ แล้วไถกลบ
  2. การเพาะกล้า (แนะนำเพื่อการเจริญเติบโตที่สม่ำเสมอ)

    • แช่เมล็ดในน้ำอุ่นประมาณ 4-6 ชั่วโมง
    • เพาะในถาดเพาะกล้าด้วยวัสดุเพาะ เช่น พีทมอส หรือดินผสม
    • รดน้ำให้ชุ่ม เก็บไว้ในที่ร่มรำไร เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ (ประมาณ 10-15 วัน) จึงย้ายลงแปลงปลูก
  3. การปลูก (สามารถหยอดเมล็ดลงแปลงโดยตรงได้)

    • ขุดหลุมปลูกขนาดประมาณ 30x30x30 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุมและระหว่างแถวประมาณ 1-2 เมตร ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
    • นำต้นกล้าลงปลูก กลบดินให้มิดโคนต้น กดดินเบา ๆ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
    • หากหยอดเมล็ดโดยตรง ให้หยอด 2-3 เมล็ดต่อหลุม เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ ให้ถอนแยกเหลือหลุมละ 1-2 ต้น
  4. การดูแลรักษา

    • การให้น้ำ รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต ช่วงออกดอก และติดผล รักษาระดับความชื้นในดินให้สม่ำเสมอ
    • การให้ปุ๋ย ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในช่วงแรก และเมื่อเริ่มติดผลให้เปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตรที่มีโพแทสเซียมสูง (เช่น 13-13-21) เพื่อส่งเสริมการสร้างเนื้อและความหวาน
    • การทำค้าง (สำหรับบางสายพันธุ์ที่มีเถาเลื้อยยาว) ทำค้างเพื่อให้เถาเลื้อยได้ดีและผลไม่สัมผัสกับดินโดยตรง
    • การกำจัดวัชพืช กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้แย่งอาหารและแสงแดด
    • การป้องกันและกำจัดโรคแมลง ตรวจสอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบปัญหาให้รีบแก้ไข
  5. การเก็บเกี่ยว

    • ระยะเวลาเก็บเกี่ยวจะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ โดยทั่วไปประมาณ 60-90 วันหลังหยอดเมล็ด
    • สังเกตลักษณะผลที่แก่จัด เช่น ขั้วผลแห้ง ใบที่อยู่ใกล้ขั้วผลเริ่มเหลือง เคาะเบา ๆ จะมีเสียงทึบ