เมล็ดพันธุ์ มะค่าโมง

30 ฿

  • จำนวน 20 เมล็ด
  • ทนทานต่อสภาพแวดล้อม
  • มีดอกสีม่วงอมชมพูสวยงามในช่วงฤดูออกดอก
  • เนื้อไม้มีลวดลายสวยงามและมีความแข็งแรง จึงนิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์
  • ลวดลายของไม้มะค่าโมงเป็นที่ต้องการสำหรับงานตกแต่งภายใน

เมล็ดพันธุ์ มะค่าโมง 20 เมล็ด

มะค่าโมง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Afzelia xylocarpa (Kurz) Craib) เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และสง่างาม อยู่ในวงศ์ Fabaceae (วงศ์ถั่ว) มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เป็นไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจสูงเนื่องจากเนื้อไม้มีความแข็งแรง ทนทาน และมีลวดลายสวยงาม ลำต้นตรง เปลือกสีเทาเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็กน้อย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ดอกออกเป็นช่อสีม่วงอมชมพู ฝักแบนแข็ง เมื่อแก่จะแตกออก ภายในมีเมล็ดสีดำเป็นมัน

คุณสมบัติ

  • เนื้อไม้แข็งแรงและทนทาน เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อปลวก มอด และสภาพอากาศได้ดีมาก
  • ลวดลายสวยงาม เนื้อไม้มีสีน้ำตาลอมเหลืองถึงน้ำตาลแดง มีลวดลายสวยงามเป็นที่ต้องการของตลาดไม้
  • การเจริญเติบโตปานกลาง เจริญเติบโตได้ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับไม้โตเร็วบางชนิด
  • ทนทานต่อสภาพแวดล้อม สามารถขึ้นได้ดีในดินหลายชนิด แต่ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ทนแล้งได้ปานกลาง
  • ทรงพุ่มสวยงาม มีทรงพุ่มกว้างและให้ร่มเงาได้ดี
  • ดอกสวยงาม มีดอกสีม่วงอมชมพูสวยงามในช่วงฤดูออกดอก

ประโยชน์ของมะค่าโมง

  1. ใช้ในการก่อสร้าง เนื้อไม้มีความแข็งแรงทนทาน เหมาะสำหรับการก่อสร้างอาคาร บ้านเรือน โครงสร้างสะพาน เสา และพื้น
  2. ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เนื้อไม้มีลวดลายสวยงามและมีความแข็งแรง จึงนิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้
  3. ใช้ในการตกแต่ง ลวดลายของไม้มะค่าโมงเป็นที่ต้องการสำหรับงานตกแต่งภายใน เช่น บานประตู หน้าต่าง วงกบ
  4. ใช้ทำเครื่องมือและอุปกรณ์ ความแข็งแรงของเนื้อไม้ทำให้เหมาะสำหรับการทำเครื่องมือทางการเกษตร ด้ามเครื่องมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ
  5. ให้ร่มเงา ทรงพุ่มที่กว้างขวางทำให้เป็นไม้ให้ร่มเงาที่ดี
  6. เป็นไม้ประดับ ดอกที่มีสีสวยงามและทรงพุ่มที่สง่างามทำให้มะค่าโมงเป็นไม้ประดับที่มีคุณค่า
  7. ประโยชน์ทางนิเวศวิทยา เป็นไม้ป่าที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ ช่วยรักษาความสมดุลของธรรมชาติ

วิธีการปลูก

เนื่องจากมะค่าโมงเป็นไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจและมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ การปลูกจึงควรคำนึงถึงการอนุรักษ์และการจัดการที่ยั่งยืน

  1. การเตรียมดิน เลือกพื้นที่ปลูกที่มีดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีความลึกของหน้าดินพอสมควร และมีอินทรียวัตถุ หากดินไม่ดีควรปรับปรุงด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
  2. การขยายพันธุ์ ส่วนใหญ่ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
    • การเก็บเมล็ด เก็บฝักที่แก่จัดและแห้ง นำเมล็ดออกจากฝัก
    • การเพาะกล้า
      • เพาะในถุงเพาะชำ นำเมล็ดที่สมบูรณ์มาเพาะในถุงเพาะชำที่บรรจุดินผสม (ดินร่วน ปุ๋ยคอก แกลบดำ อัตราส่วน 2:1:1) รดน้ำให้ชุ่ม วางไว้ในที่ร่มรำไร เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 6-12 เดือน หรือมีความสูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร จึงย้ายลงแปลงปลูก
      • เพาะในแปลงเพาะ หว่านเมล็ดในแปลงเพาะที่เตรียมไว้ เมื่อต้นกล้าแข็งแรงและมีขนาดเหมาะสมจึงย้ายไปปลูกในแปลง
  3. การเตรียมหลุมปลูก ขุดหลุมให้มีขนาดกว้าง ยาว และลึกประมาณ 50x50x50 เซนติเมตร หรือใหญ่กว่านั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของต้นกล้า รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักผสมกับดิน
  4. ระยะปลูก ระยะปลูกขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการปลูก หากปลูกเพื่อผลิตไม้ อาจใช้ระยะห่างระหว่างต้น 8-12 เมตร และระยะห่างระหว่างแถว 10-15 เมตร หากปลูกเพื่ออนุรักษ์หรือปลูกร่วมกับพืชอื่น อาจใช้ระยะที่ถี่กว่า
  5. การปลูก นำต้นกล้าลงปลูกในหลุม กลบดินให้มิดโคนต้น กดดินรอบโคนต้นเบา ๆ และรดน้ำให้ชุ่ม
  6. การให้น้ำ ในช่วงแรกของการปลูก ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ต้นกล้าตั้งตัวได้ หลังจากนั้นสามารถให้น้ำตามความเหมาะสม โดยสังเกตจากความชื้นของดิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง
  7. การให้ปุ๋ย ในช่วง 1-2 ปีแรก อาจให้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโต หลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยมากนัก
  8. การกำจัดวัชพืช ควรกำจัดวัชพืชรอบโคนต้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นยังเล็ก เพื่อไม่ให้วัชพืชแย่งอาหารและแสงแดด
  9. การดูแลรักษา อาจมีการค้ำยันต้นกล้าในช่วงแรกเพื่อป้องกันลมโยก และดูแลป้องกันโรคและแมลงที่อาจเข้าทำลาย