เมล็ดพันธุ์ ลูกเดือย 30 เมล็ด
ลูกเดือย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Coix lacryma-jobi L.) เป็นพืชตระกูลหญ้า (Poaceae) มีลักษณะเด่นคือเมล็ดทรงกลมรี สีขาวนวล เปลือกแข็ง มีรูตรงกลาง เมล็ดนี้เป็นส่วนที่เรานำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านอาหารและยาครับ ลักษณะโดยทั่วไปของต้นลูกเดือยคือ:
- ลำต้น: เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นตั้งตรง แข็งแรง เป็นปล้องคล้ายอ้อย
- ใบ: เป็นใบเดี่ยว ออกสลับ รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาวประมาณ 20-60 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร ขอบใบคม มีขนเล็กน้อย
- ดอก: ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ช่อดอกมีทั้งดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย ดอกเพศผู้จะอยู่ส่วนบนของช่อ ดอกเพศเมียจะอยู่ส่วนล่างและมีกาบแข็งหุ้ม
- ผล: คือส่วนที่เราเรียกว่า “เมล็ดลูกเดือย” มีลักษณะทรงกลมรี เปลือกแข็ง สีขาวนวล มีรูบุ๋มตรงกลาง
คุณสมบัติ
ลูกเดือยมีคุณสมบัติทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาที่โดดเด่นหลายประการ
- คุณค่าทางโภชนาการสูง เมล็ดลูกเดือยเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีน ใยอาหาร วิตามิน (เช่น วิตามินบี1, บี2, บี3) และแร่ธาตุ (เช่น เหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม)
- ปราศจากกลูเตน เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตน (Celiac disease) หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงกลูเตน
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ ในลูกเดือยมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย
- สรรพคุณทางยา (ตามตำรายาแผนโบราณ)
- เมล็ด บำรุงกำลัง บำรุงไต บำรุงปอด แก้ร้อนใน ขับปัสสาวะ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเลือด ช่วยในการย่อยอาหาร แก้ท้องเสีย แก้ปวดข้อ
- ราก ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ
- ใบ ห้ามเลือด สมานแผล
ประโยชน์ของลูกเดือย
- เป็นอาหาร เมล็ดลูกเดือยนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งคาวและหวาน เช่น โจ๊กลูกเดือย น้ำลูกเดือย ขนมหวานต่างๆ หรือนำไปผสมในธัญพืชอื่นๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
- เครื่องดื่ม น้ำต้มลูกเดือยเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ช่วยดับกระหายและมีประโยชน์ต่อร่างกาย
- ยา ตามสรรพคุณทางยาแผนโบราณ ลูกเดือยถูกนำมาใช้ในการรักษาและบรรเทาอาการต่างๆ
- อาหารสัตว์ ต้นและใบลูกเดือยสามารถใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงได้
- งานหัตถกรรม เปลือกเมล็ดลูกเดือยที่แข็งแรงและมีรูตรงกลางสามารถนำมาใช้ในงานประดิษฐ์และร้อยเป็นเครื่องประดับได้
วิธีการปลูก
-
การเตรียมดิน
- เลือพื้นที่ปลูกที่มีดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์ และมีแสงแดดส่องถึงเต็มที่
- ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อกำจัดวัชพืชและแมลงในดิน
- ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
-
การเตรียมเมล็ด
- เลือกใช้เมล็ดลูกเดือยที่สมบูรณ์ ไม่แตกหัก และไม่มีร่องรอยของโรคและแมลง
- อาจแช่เมล็ดในน้ำสะอาดประมาณ 6-8 ชั่วโมงก่อนปลูก เพื่อกระตุ้นการงอก
-
การปลูก
- หว่านเมล็ดโดยตรงลงในแปลง หรือหยอดเป็นหลุม
- แบบหว่าน หว่านเมล็ดให้กระจายทั่วแปลง แล้วไถกลบเล็กน้อย
- แบบหยอดหลุม ขุดหลุมลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร ระยะระหว่างหลุมประมาณ 30-50 เซนติเมตร และระยะระหว่างแถวประมาณ 60-80 เซนติเมตร หยอดเมล็ด 2-3 เมล็ดต่อหลุม กลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม
- โดยทั่วไปนิยมปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
-
การให้น้ำ
- ในช่วงแรกของการเจริญเติบโต ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ดินมีความชื้นเพียงพอ
- เมื่อต้นลูกเดือยโตขึ้น สามารถลดความถี่ในการให้น้ำได้ แต่ยังคงต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงที่กำลังออกดอกและติดเมล็ด
- หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไปจนดินแฉะ เพราะอาจทำให้เกิดโรครากเน่า
-
การใส่ปุ๋ย
- โดยทั่วไปลูกเดือยไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก หากดินมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ
- หากดินไม่ดี สามารถใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพิ่มเติมในช่วงเตรียมดิน และอาจใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในปริมาณเล็กน้อยในช่วงที่ต้นกำลังเจริญเติบโต
-
การกำจัดวัชพืช
- ควรกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการแข่งขันธาตุอาหารและแสงแดด
- สามารถใช้วิธีการถอนด้วยมือ การใช้เครื่องมือ หรือการใช้สารกำจัดวัชพืช (ตามคำแนะนำ)
-
การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชและโรค
- ลูกเดือยค่อนข้างทนทานต่อศัตรูพืชและโรค แต่ก็อาจพบปัญหาบ้าง เช่น หนอนเจาะลำต้น หนอนกระทู้ใบ หรือโรคใบจุด
- หากพบการระบาด ควรทำการป้องกันและกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การใช้สารชีวภัณฑ์ หรือสารเคมี (ตามคำแนะนำ)
-
การเก็บเกี่ยว
- ลูกเดือยจะเริ่มสุกแก่ประมาณ 4-6 เดือนหลังปลูก สังเกตจากใบที่เริ่มเหลืองและแห้ง เมล็ดจะแข็งและเปลี่ยนเป็นสีขาวนวล
- ตัดช่อดอกที่สุกแล้ว นำมาตากแดดให้แห้งสนิท จากนั้นจึงทำการนวดเพื่อแยกเมล็ดออกจากกาบ