เมล็ดพันธุ์ มะเขือเทศเชอร์รี่ญี่ปุ่น 50 เมล็ด
มะเขือเทศเชอร์รี่ญี่ปุ่น (ชื่อวิทยาศาสตร์: Solanum lycopersicum) ที่มีถิ่นกำเนิดหรือได้รับความนิยมปลูกและบริโภคในประเทศญี่ปุ่น มะเขือเทศกลุ่มนี้มักมีขนาดเล็ก กลมมน รสชาติหวานฉ่ำ และอาจมีลักษณะพิเศษ เช่น ผิวสัมผัสที่บางเป็นพิเศษ หรือมีรสชาติที่ซับซ้อนกว่ามะเขือเทศเชอร์รีทั่วไป บางสายพันธุ์อาจมีสีสันที่หลากหลาย เช่น แดง เหลือง ส้ม หรือแม้แต่สีดำคล้ำ
คุณสมบัติ
- ลักษณะผล
- ขนาดเล็ก กลมมน คล้ายผลเชอร์รี มักออกผลเป็นพวง
- สีของผล
- มีหลากหลายสี เช่น แดงสด เหลือง ส้ม ชมพู หรือม่วงดำ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
- รสชาติ
- หวานฉ่ำ มีกลิ่นหอม บางสายพันธุ์อาจมีรสชาติที่ซับซ้อน เช่น หวานอมเปรี้ยว หรือมีรสชาติคล้ายผลไม้
- เนื้อสัมผัส
- เนื้อนุ่ม ฉ่ำน้ำ ผิวบาง
- ต้น
- เป็นไม้ล้มลุก อายุประมาณ 1 ปี ส่วนใหญ่เป็นชนิดเลื้อย
- การเจริญเติบโต
- เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่น ต้องการแสงแดดจัด และดินร่วนระบายน้ำได้ดี
- ความโดดเด่น
- ขนาดเล็ก รสชาติหวาน มักมีคุณภาพสูงและหลากหลายสายพันธุ์
ประโยชน์ของมะเขือเทศเชอร์รี่ญี่ปุ่น
- แหล่งวิตามินและแร่ธาตุ
- อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค โพแทสเซียม และไลโคปีน
- สารต้านอนุมูลอิสระ
- มีไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็งบางชนิด
- ช่วยบำรุงสายตา
- วิตามินเอมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา
- ส่งเสริมระบบย่อยอาหาร
- มีใยอาหารช่วยในการขับถ่าย
- บำรุงผิวพรรณ
- วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ผิวพรรณสดใส
- มีแคลอรี่ต่ำ
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
- ใช้ประกอบอาหารได้หลากหลาย
- เหมาะสำหรับรับประทานสด ทำสลัด เสียบไม้เป็นอาหารว่าง หรือใช้ตกแต่งจานอาหาร ให้รสชาติหวานอร่อยและสีสันสวยงาม
วิธีการปลูก
- การเตรียมเมล็ด
- เลือกเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศเชอร์รีที่ต้องการปลูก (อาจมีชื่อสายพันธุ์ญี่ปุ่น เช่น ‘Sun Gold’, ‘Sweet Million’ ที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น)
- การเพาะกล้า
- เพาะเมล็ดในวัสดุเพาะ เช่น ดินเพาะกล้าสำเร็จรูป หรือพีทมอส
- กลบเมล็ดบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม และวางในที่ร่มรำไรที่มีอากาศถ่ายเท
- เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 คู่ และลำต้นแข็งแรง สูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร สามารถย้ายลงกระถางเพาะชำก่อน หรือย้ายลงแปลงปลูกโดยตรง
- การเตรียมดินและแปลงปลูก
- เลือกพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
- ดินควรเป็นดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง pH ประมาณ 6.0-6.8
- ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร และใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
- หากปลูกในกระถาง ควรเลือกกระถางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 20-30 เซนติเมตร
- การย้ายกล้า
- ขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่กว่าตุ้มดินของต้นกล้าเล็กน้อย
- นำต้นกล้าลงปลูก กลบดินให้มิดโคนต้น กดดินเบาๆ และรดน้ำให้ชุ่ม
- เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 40-60 เซนติเมตร และระหว่างแถวประมาณ 60-80 เซนติเมตร
- การดูแลรักษา
- การให้น้ำ รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นยังเล็ก ช่วงออกดอก และติดผล ควรรดน้ำในช่วงเช้าหรือเย็น หลีกเลี่ยงการรดน้ำโดนใบโดยตรงเพื่อลดความเสี่ยงของโรค
- การใส่ปุ๋ย ให้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบถ้วนตามช่วงการเจริญเติบโต เช่น ปุ๋ยสูตรเสมอในช่วงแรก และเน้นปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูงในช่วงติดผล อาจให้ปุ๋ยน้ำสัปดาห์ละครั้ง
- การทำค้าง มะเขือเทศเชอร์รีส่วนใหญ่เป็นชนิดเลื้อย ควรทำค้างหรือใช้หลักเพื่อพยุงลำต้นและผล
- การเด็ดหน่อข้าง เด็ดหน่อข้างที่แตกออกมาจากซอกใบ เพื่อให้ต้นหลักเจริญเติบโตได้ดีและมีผลผลิตดี
- การกำจัดวัชพืช หมั่นกำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นมะเขือเทศ
- การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชและโรค มะเขือเทศอาจถูกรบกวนโดยแมลงและโรคต่างๆ ควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและจัดการด้วยวิธีที่เหมาะสม
- การเก็บเกี่ยว
- มะเขือเทศเชอร์รีสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อผลมีสีสันสดใสตามสายพันธุ์และเริ่มนิ่มเล็กน้อย โดยสามารถทยอยเก็บเกี่ยวได้เรื่อยๆ เมื่อผลสุกและมีรสชาติตามต้องการ