เมล็ดพันธุ์ พริกหยวก

30 ฿

  • จำนวน 30 เมล็ด
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระเช่น แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ไลโคปีน (Lycopene) และเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง
  • อุดมไปด้วยวิตามินเอช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ
  • แหล่งวิตามินซีสูงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัดและโรคต่างๆ
  • มีไฟเบอร์ช่วยในการขับถ่ายและลดระดับคอเลสเตอรอล

เมล็ดพันธุ์ พริกหยวก 30 เมล็ด

พริกหยวก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Capsicum annuum) มีลักษณะเด่นคือ ผลมีขนาดใหญ่ อวบอ้วน รูปทรงคล้ายระฆัง มี 3-4 พู ผิวเรียบเป็นมัน เมื่อยังอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อสุกเต็มที่จะมีสีเหลือง ส้ม หรือแดง (และยังมีสีม่วงและสีน้ำตาลในบางสายพันธุ์) รสชาติหวาน กรอบ ไม่มีรสเผ็ด พริกหยวกเป็นผักที่นิยมบริโภคสด ทำสลัด หรือนำไปปรุงอาหารหลากหลายชนิด

คุณสมบัติ

  • ลักษณะผล
    • ขนาดใหญ่ อวบอ้วน รูปทรงคล้ายระฆัง มี 3-4 พู ผิวเรียบเป็นมัน
  • สีของผล
    • เปลี่ยนแปลงตามระยะการเจริญเติบโต จากสีเขียวเป็นสีเหลือง ส้ม แดง หรือม่วง
  • รสชาติ
    • หวาน กรอบ ไม่มีรสเผ็ด
  • เนื้อสัมผัส
    • เนื้อหนา ฉ่ำน้ำ
  • ลำต้น
    • เป็นพุ่มขนาดกลาง สูงประมาณ 0.5 – 1 เมตร
  • การเจริญเติบโต
    • เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็นถึงอบอุ่น ต้องการแสงแดดจัด และดินร่วนระบายน้ำได้ดี
  • ความหลากหลายของสี
    • มีหลายสี เช่น เขียว เหลือง ส้ม แดง และม่วง ซึ่งมีรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกัน

ประโยชน์ของพริกหยวก

  • แหล่งวิตามินซีสูง
    • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัดและโรคต่างๆ
  • อุดมไปด้วยวิตามินเอ
    • ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ
    • เช่น แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ไลโคปีน (Lycopene) และเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง
  • มีวิตามินอี
    • ช่วยบำรุงผิวหนังและเส้นผม
  • มีไฟเบอร์
    • ช่วยในการขับถ่ายและลดระดับคอเลสเตอรอล
  • มีแคลอรี่ต่ำ
    • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
  • ใช้ประกอบอาหารได้หลากหลาย
    • สามารถรับประทานสดในสลัด จิ้มกับน้ำพริก นำไปผัด อบ ย่าง สอดไส้ หรือเป็นส่วนประกอบในซุปและสตูว์

วิธีการปลูก

  • การเตรียมเมล็ด: สามารถใช้เมล็ดพันธุ์พริกหยวกที่ซื้อมา
  • การเพาะกล้า:
    • เพาะเมล็ดในวัสดุเพาะ เช่น ดินเพาะกล้าสำเร็จรูป หรือพีทมอส
    • กลบเมล็ดบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม และวางในที่ร่มรำไรที่มีอากาศถ่ายเท
    • พริกหยวกใช้เวลาในการงอกนานกว่าพริกเผ็ด โดยอาจใช้เวลา 7-14 วัน
    • เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 3-4 คู่ และลำต้นแข็งแรง สูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร สามารถย้ายลงกระถางหรือแปลงปลูกได้
  • การเตรียมดินและแปลงปลูก:
    • เลือกพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
    • ดินควรเป็นดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง pH ประมาณ 6.0-6.8
    • ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร และใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
    • หากปลูกในกระถาง ควรเลือกกระถางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 20-30 เซนติเมตร
  • การย้ายกล้า:
    • ขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่กว่าตุ้มดินของต้นกล้าเล็กน้อย
    • นำต้นกล้าลงปลูก กลบดินให้มิดโคนต้น กดดินเบาๆ และรดน้ำให้ชุ่ม
    • เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 45-60 เซนติเมตร และระหว่างแถวประมาณ 60-90 เซนติเมตร
  • การดูแลรักษา:
    • การให้น้ำ: รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นยังเล็ก ช่วงออกดอก และติดผล ควรรดน้ำในช่วงเช้าหรือเย็น หลีกเลี่ยงการรดน้ำโดนใบโดยตรงเพื่อลดความเสี่ยงของโรค
    • การใส่ปุ๋ย: ให้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบถ้วน โดยเน้นปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูงในช่วงติดผล เพื่อช่วยให้ผลมีขนาดใหญ่และมีสีสันดี อาจให้ปุ๋ยน้ำสัปดาห์ละครั้ง
    • การทำค้าง: เมื่อต้นเริ่มสูงและมีผล ควรทำค้างเพื่อพยุงกิ่งและผล ป้องกันไม่ให้กิ่งหัก
    • การเด็ดยอด: เมื่อต้นสูงประมาณ 30-40 เซนติเมตร อาจเด็ดยอดเพื่อกระตุ้นให้แตกกิ่งด้านข้าง
    • การกำจัดวัชพืช: หมั่นกำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นพริก
    • การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช: พริกหยวกอาจถูกรบกวนโดยแมลง เช่น เพลี้ย หนอน และไร ควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและกำจัดด้วยวิธีธรรมชาติ หรือใช้สารเคมีที่ปลอดภัยหากจำเป็น
    • การคลุมดิน: การคลุมดินด้วยฟางหรือวัสดุคลุมดินอื่นๆ จะช่วยรักษาความชื้นในดิน ลดการระเหยของน้ำ และควบคุมวัชพืช
  • การเก็บเกี่ยว: พริกหยวกสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อผลมีขนาดตามต้องการและมีสีเขียว หรือรอจนผลเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม หรือแดงตามความชอบ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 60-80 วันหลังย้ายกล้า