เมล็ดพันธุ์ ถั่วพู 20 เมล็ด
ถั่วพู (ชื่อวิทยาศาสตร์: Psophocarpus tetragonolobus) เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทุกส่วนของต้นสามารถนำมารับประทานได้ ไม่ว่าจะเป็น ฝักอ่อน ใบอ่อน ดอก หัว และเมล็ด ถั่วพูมีลักษณะเด่นคือ ฝักที่เป็นสันสี่เหลี่ยม มีครีบเป็นแผ่นบางๆ คล้ายปีก 4 ด้าน จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ถั่วพร้า ถั่วปีน
คุณสมบัติ
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
- เป็นพืชเถาเลื้อย อายุหลายปี (แต่ส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นพืชปีเดียว) ต้องการค้างหรือร้านเพื่อเกาะยึด
- มีระบบรากแก้วและรากแขนง
- ลำต้นเป็นเถาเลื้อย สามารถยาวได้หลายเมตร
- ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ รูปไข่ ปลายแหลม
- ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบ มีสีม่วงอ่อน ม่วงเข้ม หรือขาว
- ฝัก มีลักษณะเป็นสันสี่เหลี่ยม มีครีบเป็นแผ่นบางๆ 4 ด้าน ยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร สีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและแตกออก
- เมล็ด มีลักษณะกลมรี สีต่างๆ กัน เช่น ขาว น้ำตาล ดำ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
- หัว เป็นหัวใต้ดินคล้ายมันแกว มีเนื้อสีขาว รสหวานเล็กน้อย
- ใบอ่อนและยอดอ่อน มีลักษณะคล้ายผักบุ้ง มีรสชาติคล้ายถั่ว
- ดอก มีสีสวยงาม สามารถนำมารับประทานได้
- คุณค่าทางโภชนาการ: ถั่วพูเป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย:
- โปรตีนสูง: โดยเฉพาะในเมล็ดและหัว
- ใยอาหารสูง: ช่วยในระบบขับถ่าย
- วิตามิน: วิตามินซี, วิตามินเอ, วิตามินบีต่างๆ (เช่น โฟเลต)
- แร่ธาตุ: แคลเซียม, เหล็ก, โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, ฟอสฟอรัส
- ไขมัน: ในเมล็ดมีน้ำมันในปริมาณที่น่าสนใจ
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ
ประโยชน์ของถั่วพู
- ด้านอาหาร: ทุกส่วนของต้นสามารถนำมารับประทานได้:
- ฝักอ่อน: นำมาผัด แกง ลวก จิ้มน้ำพริก ใส่ในสลัด
- ใบอ่อนและยอดอ่อน: นำมาผัด ลวก หรือใส่ในแกง
- ดอก: นำมาชุบแป้งทอด หรือใส่ในยำ
- หัว: รับประทานสด ต้ม หรือนำไปประกอบอาหารคล้ายมันแกว
- เมล็ดแก่: นำไปต้ม คั่ว หรือบดทำแป้ง (มีโปรตีนและไขมันสูง)
- ด้านสุขภาพ:
- เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโปรตีนจากพืช
- ช่วยในการขับถ่าย: ใยอาหารสูงช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก
- บำรุงกระดูกและฟัน: มีแคลเซียมสูง
- บำรุงโลหิต: มีธาตุเหล็ก
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: มีวิตามินซี
- อาจมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง: มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด
- ด้านการเกษตร:
- เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนชื้น
- ช่วยปรับปรุงดิน เนื่องจากเป็นพืชตระกูลถั่วที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศลงสู่ดินได้
- เป็นแหล่งอาหารและรายได้ของเกษตรกร
วิธีการปลูก
-
การเตรียมดิน:
- เลือกพื้นที่ปลูกที่ได้รับแสงแดดเต็มที่ ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง
- ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร กำจัดวัชพืช
- ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
-
การเตรียมเมล็ด:
- เลือกเมล็ดพันธุ์ถั่วพูที่มีคุณภาพดี
- แช่เมล็ดในน้ำสะอาดประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
-
การปลูก:
- หยอดเมล็ดโดยตรง: หยอดเมล็ดลงในหลุมลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 50-80 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 1-1.5 เมตร หยอดหลุมละ 2-3 เมล็ด กลบดินบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม
- ทำค้างหรือร้าน: เมื่อต้นกล้าเริ่มเลื้อย (ประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังปลูก) ให้ทำค้างหรือร้านที่แข็งแรงเพื่อให้เถาถั่วพูเกาะยึดและเจริญเติบโต
-
การดูแลรักษา:
- การให้น้ำ: รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโตและช่วงติดดอกออกฝัก
- การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพิ่มเติมเป็นระยะ หรืออาจใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) ในปริมาณเล็กน้อยในช่วงแรก และเปลี่ยนเป็นปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงขึ้นในช่วงออกดอกติดฝัก
- การพรวนดินและกำจัดวัชพืช: พรวนดินรอบโคนต้นและกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ
- การตัดแต่งเถา: ตัดแต่งเถาที่ไม่สมบูรณ์ หรือเถาที่รกเกินไป เพื่อให้มีการระบายอากาศที่ดีและลดการเกิดโรคและแมลง
- การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชและโรค: หมั่นตรวจแปลงปลูก หากพบศัตรูพืชหรือโรคให้รีบทำการป้องกันและกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม
-
การเก็บเกี่ยว:
- ฝักอ่อน: เริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 2-3 เดือนหลังปลูก ควรเก็บเกี่ยวเมื่อฝักยังอ่อนและมีขนาดพอเหมาะ
- ใบอ่อนและยอดอ่อน: เก็บเกี่ยวได้ตลอดเมื่อต้นมีการเจริญเติบโต
- ดอก: เก็บเกี่ยวเมื่อดอกบานเต็มที่
- หัว: เก็บเกี่ยวเมื่อต้นมีอายุประมาณ 6-8 เดือนขึ้นไป
- เมล็ดแก่: ปล่อยให้ฝักแก่และแห้งบนต้น แล้วเก็บเกี่ยวฝักมาแกะเอาเมล็ด
ข้อควรจำ:
- ถั่วพูต้องการค้างหรือร้านที่แข็งแรง เนื่องจากมีเถาเลื้อยยาวและให้ผลผลิตจำนวนมาก
- การดูแลรักษาที่ดีจะช่วยให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสูง
- สามารถขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดหรือหัว