เมล็ดพันธุ์ ฝักยาวเขียว 40 เมล็ด
ฝักยาวเขียว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Vigna unguiculata subsp. sesquipedalis) เป็นพืชตระกูลถั่ว เป็นพืชล้มลุกที่มีลักษณะเด่นคือ ฝักที่ยาวมาก โดยมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 30-90 เซนติเมตร หรืออาจยาวได้ถึง 1 เมตร จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกต่างๆ เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วแขก (ในบางท้องที่)
ฝักยาวเขียวมีลักษณะฝักเป็นทรงกระบอกเรียว สีเขียวสด ผิวเรียบ ภายในมีเมล็ดเรียงกันเป็นแถว เมล็ดมีขนาดเล็กรูปไต สีต่างๆ กันไป เช่น ขาว น้ำตาล ดำ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ลำต้นเป็นเถาเลื้อย ต้องการค้างหรือร้านเพื่อให้ลำต้นเกาะยึดและเจริญเติบโต
คุณสมบัติ
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- เป็นพืชล้มลุก อายุประมาณ 3-4 เดือน
- มีระบบรากแก้วและรากแขนง
- ลำต้นเป็นเถาเลื้อย สามารถยาวได้หลายเมตร
- ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ รูปไข่ ปลายแหลม
- ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบ มีสีม่วงอ่อนหรือขาว
- ฝักยาว ทรงกระบอก ผิวเรียบ สีเขียวสด
- เมล็ดรูปไต ขนาดเล็ก สีต่างๆ กัน
- คุณค่าทางโภชนาการ ฝักยาวเขียวเป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น
- วิตามิน วิตามินซี, วิตามินเอ, วิตามินเค, วิตามินบีต่างๆ (เช่น โฟเลต)
- แร่ธาตุ โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, เหล็ก, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส
- ใยอาหาร ช่วยในระบบขับถ่าย
- โปรตีน แม้จะไม่สูงเท่าถั่วเมล็ดแห้ง แต่ก็มีโปรตีนในปริมาณที่น่าสนใจ
- สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย
- รสชาติและเนื้อสัมผัส มีรสชาติหวานเล็กน้อย กรอบ เนื้อแน่น เมื่อนำไปปรุงสุกจะมีความนุ่ม
ประโยชน์ของฝักยาวเขียว
- ด้านสุขภาพ
- ส่งเสริมระบบขับถ่าย ใยอาหารสูงช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก
- บำรุงสายตา วิตามินเอสูงช่วยในการมองเห็น
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินซีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- บำรุงกระดูกและฟัน มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
- บำรุงโลหิต มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
- ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็งบางชนิด
- ดีต่อหญิงตั้งครรภ์ มีโฟเลตสูง ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์
- ด้านการเกษตร
- เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว ให้ผลผลิตสูง
- สามารถปลูกได้ในดินหลายชนิด
- เป็นพืชที่ช่วยปรับปรุงดิน เนื่องจากตระกูลถั่วสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศลงสู่ดินได้
- เป็นแหล่งอาหารและรายได้ของเกษตรกร
- ด้านอาหาร
- เป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารหลากหลายชนิด เช่น ผัดต่างๆ แกงต่างๆ ส้มตำ ยำ
- สามารถนำไปแปรรูปได้ เช่น ถั่วฝักยาวดอง ถั่วฝักยาวอบกรอบ
วิธีการปลูก
- การเตรียมดิน
- เลือกพื้นที่ปลูกที่ได้รับแสงแดดเต็มที่ ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง
- ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร ตากดินไว้ 5-7 วัน เพื่อกำจัดวัชพืชและแมลง
- ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่
- ยกแปลงปลูกให้สูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1-1.5 เมตร เว้นทางเดินระหว่างแปลงประมาณ 50-80 เซนติเมตร
- การเตรียมเมล็ด
- เลือกเมล็ดพันธุ์ฝักยาวเขียวที่มีคุณภาพดี ตรงตามความต้องการ
- แช่เมล็ดในน้ำสะอาดประมาณ 6-8 ชั่วโมง แล้วนำไปผึ่งลมให้หมาดๆ ก่อนนำไปปลูก
- การปลูก
- หยอดเมล็ดโดยตรง หยอดเมล็ดลงในหลุมลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 30-50 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 60-80 เซนติเมตร หยอดหลุมละ 2-3 เมล็ด กลบดินบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม
- เพาะกล้า เพาะเมล็ดในถาดเพาะกล้า เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 15-20 วัน หรือมีใบจริง 2-3 ใบ จึงย้ายลงแปลงปลูก โดยมีระยะปลูกเช่นเดียวกับการหยอดเมล็ดโดยตรง
- การทำค้าง
- เมื่อต้นกล้าเริ่มเลื้อย (ประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังปลูก) ให้ทำค้างหรือร้านเพื่อให้เถาฝักยาวเกาะยึด
- ค้างสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น ค้างไม้ไผ่ ค้างตาข่าย หรือค้างลวด
- การดูแลรักษา
- การให้น้ำ รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโตและช่วงติดดอกออกฝัก ควรรดน้ำในช่วงเช้าหรือเย็น หลีกเลี่ยงการรดน้ำในช่วงที่มีแดดจัด
- การใส่ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) หรือปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงในช่วงแรกของการเจริญเติบโต และเปลี่ยนเป็นปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงในช่วงออกดอกติดฝัก ควรใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำบนฉลาก
- การพรวนดินและกำจัดวัชพืช พรวนดินรอบโคนต้นเพื่อกำจัดวัชพืชและช่วยให้ดินร่วนซุย
- การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชและโรค หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบศัตรูพืชหรือโรคให้รีบทำการป้องกันและกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การใช้สารชีวภัณฑ์ หรือสารเคมีตามคำแนะนำ
- การเก็บเกี่ยว
- ฝักยาวเขียวจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 45-60 วันหลังปลูก ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
- เก็บเกี่ยวเมื่อฝักมีขนาดพอเหมาะ สีเขียวสด และยังไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป ควรเก็บเกี่ยวอย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นให้มีการออกดอกและติดฝักอย่างต่อเนื่อง
ข้อควรจำ
- เลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและดินในพื้นที่ปลูก
- การดูแลรักษาที่ดีจะช่วยให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสูง
- การหมุนเวียนพืชจะช่วยลดปัญหาโรคและแมลงในระยะยาว