เมล็ดพันธุ์ กะเพราแดง

30 ฿

  • จำนวน 500 เมล็ด
  • เช่นเดียวกับกะเพราขาว กะเพราแดงมีคุณสมบัติเป็น adaptogen ช่วยให้ร่างกายรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
  • มีฤทธิ์ขับลม ช่วยลดอาการไม่สบายท้อง
  • สารประกอบในกะเพราแดงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ
  • สารแอนโทไซยานินในกะเพราแดงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและชะลอความเสื่อมของร่างกาย

เมล็ดพันธุ์ กะเพราแดง 500 เมล็ด

กะเพราแดง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Ocimum tenuiflorum var. rubrum.) เป็นพืชล้มลุกในวงศ์เดียวกันกับกะเพราขาว โหระพา และแมงลัก มีลักษณะเด่นคือ ลำต้น กิ่งก้าน และใบมีสีม่วงแดงหรือแดงอมเขียว มีกลิ่นหอมฉุนเฉพาะตัวและรสชาติเผ็ดร้อนกว่ากะเพราขาวเล็กน้อย เช่นเดียวกับกะเพราขาว กะเพราแดงเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าทางยาและนิยมนำมาใช้ปรุงอาหาร โดยเฉพาะเมนูผัดกะเพราที่ให้รสชาติและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์

คุณสมบัติ

  • แอนโทไซยานิน (Anthocyanins)
    • เป็นสารสีแดงม่วงที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งอาจสูงกว่าในกะเพราขาว
  • น้ำมันหอมระเหย (Essential oils)
    • เช่น eugenol, methyl eugenol, caryophyllene ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านอนุมูลอิสระ
  • ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
    • เช่น orientin และ vicenin ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • แทนนิน (Tannins)
    • มีฤทธิ์ฝาดสมาน
  • ซาโปนิน (Saponins)
    • อาจมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดและไขมัน

ประโยชน์ของกะเพราแดง

  • ต้านอนุมูลอิสระสูง
    • สารแอนโทไซยานินในกะเพราแดงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและชะลอความเสื่อมของร่างกาย
  • ช่วยบรรเทาอาการหวัดและไข้
    • น้ำมันหอมระเหยช่วยลดอาการคัดจมูก ไอ และเจ็บคอ
  • อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
    • มีงานวิจัยเบื้องต้นที่แสดงให้เห็นว่ากะเพราแดงอาจมีผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล
    • เช่นเดียวกับกะเพราขาว กะเพราแดงมีคุณสมบัติเป็น adaptogen ช่วยให้ร่างกายรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
  • ช่วยต้านการอักเสบ
    • สารประกอบในกะเพราแดงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ
  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
    • สารสำคัญในกะเพราแดงอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
    • มีฤทธิ์ขับลม ช่วยลดอาการไม่สบายท้อง
  • อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
    • สารต้านอนุมูลอิสระอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

วิธีการปลูก

  • การเตรียมดิน
    • เลือกดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ไถพรวนดินให้ละเอียด และผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มธาตุอาหาร
  • การเพาะเมล็ด
    • เพาะเมล็ดในกระถางเพาะหรือแปลงเพาะ โดยหว่านเมล็ดบางๆ กลบดินเล็กน้อย รดน้ำให้ชุ่ม วางในที่ที่มีแสงแดดรำไร เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 คู่ จึงย้ายลงแปลงปลูกหรือกระถาง
  • การปักชำ
    • สามารถปักชำกิ่งได้เช่นกัน โดยเลือกกิ่งที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป ยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร เด็ดใบล่างออก ปักลงในดินร่วนที่ชุ่มชื้น รดน้ำสม่ำเสมอ รากจะเริ่มงอกภายใน 2-3 สัปดาห์
  • การปลูก
    • ย้ายต้นกล้าหรือกิ่งชำลงในแปลงปลูกหรือกระถาง โดยเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 30-40 เซนติเมตร และระหว่างแถวประมาณ 50-60 เซนติเมตร
  • การดูแล:
    • การรดน้ำ: รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการปลูกและช่วงที่อากาศแห้งแล้ง ควรรดน้ำในช่วงเช้าหรือเย็น
    • การให้ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเดือนละครั้งเพื่อบำรุงต้น
    • การกำจัดวัชพืช: กำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นอย่างสม่ำเสมอ
    • การตัดแต่ง: เด็ดยอดเมื่อเริ่มมีดอก เพื่อกระตุ้นการแตกกิ่งและใบ
  • การเก็บเกี่ยว
    • เก็บเกี่ยวใบเมื่อต้นมีอายุประมาณ 2-3 เดือน โดยเด็ดใบหรือตัดทั้งกิ่ง ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้า