เมล็ดพันธุ์ กะเพราแดง 500 เมล็ด
กะเพราแดง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Ocimum tenuiflorum var. rubrum.) เป็นพืชล้มลุกในวงศ์เดียวกันกับกะเพราขาว โหระพา และแมงลัก มีลักษณะเด่นคือ ลำต้น กิ่งก้าน และใบมีสีม่วงแดงหรือแดงอมเขียว มีกลิ่นหอมฉุนเฉพาะตัวและรสชาติเผ็ดร้อนกว่ากะเพราขาวเล็กน้อย เช่นเดียวกับกะเพราขาว กะเพราแดงเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าทางยาและนิยมนำมาใช้ปรุงอาหาร โดยเฉพาะเมนูผัดกะเพราที่ให้รสชาติและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์
คุณสมบัติ
- แอนโทไซยานิน (Anthocyanins)
- เป็นสารสีแดงม่วงที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งอาจสูงกว่าในกะเพราขาว
- น้ำมันหอมระเหย (Essential oils)
- เช่น eugenol, methyl eugenol, caryophyllene ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านอนุมูลอิสระ
- ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
- เช่น orientin และ vicenin ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- แทนนิน (Tannins)
- มีฤทธิ์ฝาดสมาน
- ซาโปนิน (Saponins)
- อาจมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดและไขมัน
ประโยชน์ของกะเพราแดง
- ต้านอนุมูลอิสระสูง
- สารแอนโทไซยานินในกะเพราแดงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและชะลอความเสื่อมของร่างกาย
- ช่วยบรรเทาอาการหวัดและไข้
- น้ำมันหอมระเหยช่วยลดอาการคัดจมูก ไอ และเจ็บคอ
- อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
- มีงานวิจัยเบื้องต้นที่แสดงให้เห็นว่ากะเพราแดงอาจมีผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล
- เช่นเดียวกับกะเพราขาว กะเพราแดงมีคุณสมบัติเป็น adaptogen ช่วยให้ร่างกายรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
- ช่วยต้านการอักเสบ
- สารประกอบในกะเพราแดงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ
- ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- สารสำคัญในกะเพราแดงอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
- ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
- มีฤทธิ์ขับลม ช่วยลดอาการไม่สบายท้อง
- อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
- สารต้านอนุมูลอิสระอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
วิธีการปลูก
- การเตรียมดิน
- เลือกดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ไถพรวนดินให้ละเอียด และผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มธาตุอาหาร
- การเพาะเมล็ด
- เพาะเมล็ดในกระถางเพาะหรือแปลงเพาะ โดยหว่านเมล็ดบางๆ กลบดินเล็กน้อย รดน้ำให้ชุ่ม วางในที่ที่มีแสงแดดรำไร เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 คู่ จึงย้ายลงแปลงปลูกหรือกระถาง
- การปักชำ
- สามารถปักชำกิ่งได้เช่นกัน โดยเลือกกิ่งที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป ยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร เด็ดใบล่างออก ปักลงในดินร่วนที่ชุ่มชื้น รดน้ำสม่ำเสมอ รากจะเริ่มงอกภายใน 2-3 สัปดาห์
- การปลูก
- ย้ายต้นกล้าหรือกิ่งชำลงในแปลงปลูกหรือกระถาง โดยเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 30-40 เซนติเมตร และระหว่างแถวประมาณ 50-60 เซนติเมตร
- การดูแล:
- การรดน้ำ: รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการปลูกและช่วงที่อากาศแห้งแล้ง ควรรดน้ำในช่วงเช้าหรือเย็น
- การให้ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเดือนละครั้งเพื่อบำรุงต้น
- การกำจัดวัชพืช: กำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นอย่างสม่ำเสมอ
- การตัดแต่ง: เด็ดยอดเมื่อเริ่มมีดอก เพื่อกระตุ้นการแตกกิ่งและใบ
- การเก็บเกี่ยว
- เก็บเกี่ยวใบเมื่อต้นมีอายุประมาณ 2-3 เดือน โดยเด็ดใบหรือตัดทั้งกิ่ง ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้า