เมล็ดพันธุ์ ฟิลเลย์ 80 เมล็ด
ฟิลเลย์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Lactuca sativa var. crispa) หรือที่บางครั้งเรียกว่า ผักฟริเซ่ เป็นผักใบเขียวที่มีลักษณะเฉพาะตัว และเป็นที่นิยมในอาหารต่างๆ โดยเฉพาะในสลัด เพราะรูปลักษณ์ที่สวยงามและรสชาติที่โดดเด่น เป็นผักสลัดประเภทหนึ่งที่มีใบหยักและขอบใบที่มีลักษณะฟูๆ ขึ้นคล้ายเส้นใยเล็กๆ ใบของมันมีสีเขียวสดและบางส่วนของใบจะเป็นสีขาว ช่วยให้ผักดูมีลักษณะเป็นชั้นๆ นอกจากนี้ ผักฟิลเลย์มักถูกใช้เป็นส่วนประกอบในสลัดหรือใช้เป็นเครื่องเคียงในเมนูอาหารต่างๆ
คุณสมบัติ
-
ใบ
-
ผักฟิลเลย์มีใบหยักและมีขอบใบฟูๆ ลักษณะใบจะบางและมีสีเขียวสดใส บางครั้งบางส่วนของใบอาจเป็นสีขาวหรือสีเหลือง
-
-
รสชาติ
-
รสชาติของผักฟิลเลย์จะมีความกรอบและขมน้อย ทำให้มันเหมาะกับการทานสดในสลัดหรือเมนูที่ต้องการรสชาติที่สดชื่น
-
-
การเจริญเติบโต
-
ผักฟิลเลย์เติบโตได้ดีในอุณหภูมิที่เย็นถึงอบอุ่น โดยใช้เวลาประมาณ 40-50 วันเพื่อเก็บเกี่ยวหลังจากการปลูก
-
ประโยชน์ของฟิลเลย์
-
แหล่งวิตามินและแร่ธาตุ
-
ผักฟิลเลย์อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, K และกรดโฟลิก ซึ่งดีต่อการบำรุงสายตา ระบบภูมิคุ้มกัน และกระดูก
-
-
ช่วยระบบย่อยอาหาร
-
มีไฟเบอร์ที่ช่วยในการย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก
-
-
ลดน้ำหนัก
-
ผักฟิลเลย์มีแคลอรีต่ำและมีน้ำมาก ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องโดยไม่เพิ่มน้ำหนัก
-
-
บำรุงผิวพรรณ
-
ด้วยวิตามิน A และ C ช่วยให้ผิวพรรณสดใสและมีสุขภาพดี
-
-
บำรุงกระดูก
-
เนื่องจากมีวิตามิน K ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
-
วิธีการปลูก
-
การเตรียมดิน
-
ควรเลือกดินที่ร่วนซุยและมีการระบายน้ำดี โดยผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดินเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
-
-
การปลูก
-
สามารถปลูกได้จากเมล็ด โดยหว่านเมล็ดลงในดินแล้วกดเบาๆ ให้เมล็ดสัมผัสกับดิน หลังจากที่เมล็ดงอกและต้นกล้าโตขึ้นแล้ว สามารถย้ายไปปลูกในที่ที่มีแสงแดดเพียงพอ
-
-
แสงแดด
-
ผักฟิลเลย์ต้องการแสงแดดเต็มที่เพื่อเจริญเติบโตดี แต่ไม่ควรให้โดนแสงแดดจัดเกินไป เพราะจะทำให้ผักเหี่ยวเร็ว
-
-
การรดน้ำ
-
ควรรดน้ำให้สม่ำเสมอ โดยระวังไม่ให้น้ำขังในดิน เพราะจะทำให้รากเน่าได้
-
-
การเก็บเกี่ยว
-
ผักฟิลเลย์สามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 40-50 วันหลังจากการปลูก เมื่อใบเติบโตเต็มที่และมีสีเขียวสดใส สามารถเก็บเกี่ยวได้โดยการตัดใบที่สมบูรณ์และสดใหม่
-